วันจันทร์, สิงหาคม 12, 2562

‘เห็นพ้อง’ เตรียมแก้ไขรัฐธรรมนูญเปิดทางร่าง รธน.ใหม่ทั้งฉบับ


รูปธรรมอย่างหนึ่งซึ่งทำให้เห็นว่าฝ่ายค้าน คสช.๒ ไม่ว่าจะเป็นพรรคใหม่หรือพรรคเก่า มีทัศนคติ วิสัยทัศน์ และค่านิยมทางการเมืองการปกครอง สอดคล้องกับผลประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนมากกว่าองคาพยพจากการรัฐประหาร เช่น กองทัพ วุฒิสภา และพรรคพลังประชารัฐ

ก็คือ “พรรคเพื่อไทย-อนาคตใหม่ เห็นพ้องเตรียมแก้ไขรัฐธรรมนูญเปิดทางร่าง รธน.ใหม่ทั้งฉบับ โดย ส.ส.ร. มาจากการเลือกตั้งของประชาชน” ซึ่งเป็นผลพวงจากการเสวนารำลึกครบรอบ ๓ ปีการทำประชามติต่อร่างรัฐธรรมนูญ หมกเม็ด ๗ สิงหา ๕๙

ที่มาเป็นรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ อันก่อปัญหาทางการเมืองการปกครองยุ่งเหยิงมากมาย กระทั่งรัฐบาลชุดที่สองของคณะยึดอำนาจก็ยังติดกับดักของตนเอง ดิ้นกระแด่ว เป็น แมวคราวถูกน้ำร้อนขณะนี้

ก่อนเข้าสู่เนื้อหาหลัก มาทำความเข้าใจกับศัพท์แสงบางคำ ดังเช่น แมวคราว’ = “ใจคอไม่คิดจะรับผิดชอบอะไรเลยหรือ” ตัวอย่างจากที่ @hengsuaycountry เอ่ยถึงท่าทีล่าสุดของหัวหน้า คสช.๒

“น้ำแล้ง :โทษชาวบ้านทำนาปรัง น้ำท่วม :โทษชาวบ้านกีดขวางทางน้ำ ข้าวยากหมากแพง :โทษชาวบ้านขี้เกียจ ไม่รู้จักปรับตัวเลยจน ราคาพืชผลต่ำ :โทษชาวบ้านปลูกพืชซ้ำซาก”

ดิ้นกระแด่ว :ดูได้ที่โพสต์ประกอบภาพของ @Stop_Dadjarit “หลังจากผูกเชือกรองเท้าเอง ฉีดยาไม่ร้อง เล่นซนจนหนามตำ ตอนนี้น้องพาคนตาบอดขึ้นรถไฟฟ้าได้แล้วครับ น้องมีพัฒนาการที่ดี”
หมกเม็ด :เห็นได้จากการที่ เจษฎ์ โทณะวณิก นักกฎหมายสาย สลิ่มพยายามลดความเสียหายอันเกิดจากการกล่าวคำถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ตนเองก็ยอมรับว่าขาดตกบกพร่อง

“รัฐธรรมนูญไมได้ระบุชัดเจนว่าการถวายสัตย์ปฏิญานไม่ครบถ้วนจะผิด...และไม่มีบทลงโทษบัญญัติไว้” เขาเสนอทางแก้ไขว่านอกจากจะทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่แคร์ก็ได้แล้ว หากเรื่องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ “วินิจฉัยในทางร้าย

เท่ากับการแถลงนโยบายจะต้องกลายเป็นศูนย์...ถือว่ายังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ ยังไม่มีรัฐบาล” ดังนั้น คสช.สามารถครองอำนาจต่อไป และ “ต้องกลับมาบริหารประเทศ”
 

หรืออีกตัวอย่างที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม มาจากคำอภิปรายที่อาคารเอนกประสงค์ มธ. ท่าพระจันทร์ หัวข้อ ๓ ปีประชามติ ได้อะไรเสียอะไร เอาไงต่อของ น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิธินันท์ แห่งศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

เธอกล่าวถึงระหว่างการรณรงค์ประชามติร่าง รธน. ปี ๕๙ ว่ามีการ ข่มขู่คุกคามและดำเนินคดีกับ “กับประชาชนที่ออกมารณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นการแจกจ่ายเอกสาร ใบปลิว และสติ๊กเกอร์โหวตโน” ถูกจับกุมอย่างน้อย ๒๑๒ คน

จนบัดนี้คดีไม่สิ้นสุดอีก ๕๓ ราย “สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เสรีและเป็นธรรมของการทำประชามติ...และมีการ ปกปิดข้อเท็จจริงบางอย่าง อย่างเช่นที่มา ส.ว. ที่มาในรูปแบบคำถามพ่วง” อีกทั้ง “ทุกคนถูกปิดปากและรับทราบข้อมูลได้จากฝ่ายรัฐเพียงอย่างเดียว”

เช่นนี้ข้อเสนอที่ได้มาจากการเสวนาครบรอบ ๓ ปีประชามติรับร่าง รธน.อีกรายการที่อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา แยกคอกวัว ก่อนหน้านั้นเมื่อ ๗ ส.ค. สอดคล้องอย่างยิ่งกับความต้องการของประชาชนเสียงข้างมากที่เลือกพรรคการเมืองซึ่งมีนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญ

จอน อึ๊งภากรณ์ ผอ.ไอลอว์ กล่าวถึงการแก้รัฐธรรมนูญว่า “อาจต้องเริ่มที่การแก้ไขที่มา ส.ว. ให้มีที่มาจากการเลือกตั้ง” โดย “ต้องสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนที่ประสบปัญหาจากนโยบายของรัฐ...มีวิธีร่างอย่างเป็นประชาธิปไตย และการมีส่วนร่วมของประชาชน”

ทั้งนี้เนื่องจากมีข้อหมกเม็ดอยู่ในรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ว่าการแก้ไข “จะต้องใช้เสียง ส.ว. ซึ่งอยู่ในการอุปถัมภ์ของ คสช.” นอกจากนั้นยังมีการวางเงื่อนงำเอื้ออำนวยต่อการสืบทอดอำนาจคณะรัฐประหารจนทำให้ “ในระยะยาวจำเป็นต้องร่างใหม่ทั้งหมด


ปะเหมาะเจาะจงยิ่งขึ้นไปอีก กับการแถลงของกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย เมื่อ ๖ ส.ค. ว่าจะดำเนินการเพื่อให้ไปสู่การ จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ผ่านสมาชิสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. ๒๐๐ คน ที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน

สสร.นี้จะเป็นผู้คัดสรร คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ  เบื้องต้นจำนวน ๒๙ คน เมื่อได้ตัวร่างแล้วจึงส่งให้ สสร.พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนส่งต่อให้คณะกรรมการเลือกตั้งจัดทำประชามติ ให้ประชาชนเป็นผู้อนุมัติร่างรัฐธรรมนูญใหม่นี้ในที่สุด

วัฒนา เมืองสุข กรรมการยุทธศาสตร์เพื่อไทยคนหนึ่งกล่าวถึงความจำเป็นต้องร่าง รธน.ใหม่ว่า รัฐธรรมนูญปัจจุบันมีปัญหา “ไม่เคารพเจตนารมณ์ของประชาชน” แล้วยัง “เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ” เพราะรัฐบาล คสช.๒ มีถึง ๑๙ พรรค ขาดความเป็นเอกภาพ ยากต่อการแก้ไขปัญหา


เห็นได้จากกรณี ๑๐ พรรคจิ๋วซึ่งได้คะแนนไม่ถึงเกณฑ์มี ส.ส.ในสภา แต่ กกต.ใช้วิธีปัดเศษให้คะแนนเอื้ออาทรจัดสรรให้พรรคละ ๑ ที่นั่ง ส.ส. เพื่อเข้าไปร่วมโหวตกับฝ่ายสืบทอดอำนาจ คสช. ให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

ครั้นเมื่อตั้งรัฐบาลพรรคการเมืองเหล่านี้กลายเป็นเบี้ยรองบ่อน ทั้ง คสช. และพรรคใหญ่ (พปชร.) ไม่ใยดี ไม่มีที่นั่งรัฐมนตรีและตำแหน่งทางการเมืองตกไปถึงพวกตน จึงเกิดการขู่แยกตัวจากรัฐบาล จนต้องมีการเอาใจจัดหาตำแหน่งให้

ประชาชนจะหวังอะไรได้กับประสิทธิภาพของรัฐบาล คสช.๒ ไม่เพียงการจัดวางรัฐมนตรีจากชุดเดิมยุค คสช.๑ ซึ่งล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจตลอด ๕ ปีที่ผ่านมา แล้วยังจะต้องจับยัดคนของพรรคปัดเศษเข้าสู่ตำแหน่ง มาตรฐานความสามารถไม่มี