นักกิจกรรมที่ต่อต้านรัฐประหารและเชิดชูประชาธิปไตยถูกทำร้าย
นี่ไม่ใช่เหตุเฉพาะตัวหรือเป็นเรื่องมโนสาเร่แล้วแน่นอน กรณี ‘จ่านิว’ เป็นรายที่สามชี้ชัดว่าเป็นการทำให้บาดเจ็บในทางคุกคาม
ข่มขู่ และบังคับให้หวาดกลัวด้วยความโหดร้าย
บุคคลิกภาพของเอกชัย หงส์กังวาน อนุรักษ์ เจตวนิชย์ และสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์
อาจไม่ถึงขั้นทำให้ซาบซึ้งตรึงใจเป็นไอดอลของคนจำนวนมาก
แต่กิจกรรมที่พวกเขามุ่งมั่นรณรงค์ไม่ย่นย่อหยุดยั้ง
เป็นคุณูปการแก่ขบวนการประชาธิปไตยอย่างยิ่งยวด
เพราะการที่พวกเขาไม่ยอมหยุดนี้เองทำให้พวกเผด็จการไม่สามารถลอยนวลตบตาคนทั้งประเทศและทั้งโลกได้
ถึงแม้จะไม่ทำให้พวกมันระคายเคือง
แต่อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เป็นที่รับรู้ว่าเผด็จการยังมีอยู่
และสิ่งที่พวกนี้ทำกับประเทศชาติมิใช่เรื่องถูกต้อง ควรแก่การประณามสกัดกั้น
และต่อต้าน
แต่แล้วการที่พวกเขาตื๊อและดื้อรั้นกลับทำให้เป็นเป้าการลอบทำร้าย
บุกทำร้าย และกลุ้มรุมทำร้าย
ผู้สนับสนุนบางส่วนอาจเห็นว่าการยั่วยุและถูกทำร้ายยิ่งประจานให้เห็นความชั่วร้ายของผู้มีอำนาจมากขึ้น
ในขณะที่ผู้สั่งการและลงมือเชื่อว่าอาการบาดเจ็บจะทำให้คนเหล่านั้นระย่อ
ท้อถอยไปในที่สุด
สำหรับผู้ที่อยู่วงนอกเป็นได้สองทางเท่านั้น
หากละเลยหรือแสดงความสะใจก็เท่ากับสนับสนุนฝ่ายเผด็จการ ถ้าเห็นด้วยและเห็นอกเห็นใจในความมุ่งมั่นของพวกเขา
อย่างน้อยๆ ต้องไม่เฉย ซึ่งในที่นี้ไม่หมายความว่าจะต้องออกโรงสนับสนุนพวกเขากันทุกคนไป
เพียงแค่ไม่เมินกับเหตุที่เกิดขึ้นก็ใช้ได้
กรณีจ่านิวที่ถูกชายซึ่งสวมหมวกกันน็อคพรางใบหน้าสี่ห้าคนรุมทำร้ายเมื่อคืนวันที่
๒ มิถุนา จนหน้าตาบวมปูด มีบาดแผลเล็กน้อยที่มือ
ทว่าอาการภายในไม่ดีนักจึงได้ทำการนำส่งโรงพยาบาล เป็นเหตุไม่ธรรมดาและไม่ควรเกิด
มันเป็นสภาพของอาณาจักรแห่งความหวาดกลัวในระบบฟ้าสซิสต์
ที่มีเฉพาะคนที่เป็นลิ่วล้อ สมุนรับใช้ หรือผู้ให้การสนับสนุนอำนาจเผด็จการเท่านั้น
จึงจะไม่เกิดความรู้สึกหวาดหวั่นว่าถูกข่มเหง
จะอ้างอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นเลยว่า
การทำร้ายจ่านิว เอกชัย และฟอร์ด เส้นทางสีแดง ล้วนมีเหตุจูงใจทางการเมืองจากความไม่พอใจของ
คสช.และเครือข่ายทั้งสิ้น จ่านิวถูกรุมตีหลังจากที่ไปตั้งโต๊ะล่ารายชื่อเพื่อเรียกร้องให้
สว.งดออกเสียงในการโหวตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ ๕ มิถุนายนนี้
ฟอร์ดก็ถูกทำร้ายบาดเจ็บขนาดหามส่งโรงพยาบาลหลังจากเตรียมการไปประท้วงการการประชุมสภาผู้แทนฯ
เพื่อเลือกประธาน
ส่วนเอกชัยนั้นหลายครั้งหลายหนถูกดักตีขณะเดินทางกลับจากการประท้วงในเชิงสัญญลักษณ์ต่อการครองอำนาจของ
คสช.
การทำร้ายนักกิจกรรมเหล่านี้ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่มีการจับกุมตัวคนร้าย
ครั้งเดียวที่มีการดำเนินคดีกับคนที่บุกชกเอกชัยสองหน
คนร้ายเพียงเสียค่าปรับและโทษทัณฑ์ให้รอลงอาญา นี่แสดงให้เห็นว่าสังคมไทยยังเต็มไปด้วยการใช้อำนาจเถื่อน
ที่กฎบัตรกฎหมายไร้น้ำยาถ้าเป็นการเอาผิดกับฝ่ายสนับสนุนคณะรัฐประหารและรัฐบาล
คสช. แต่จะคล่องแคล่วว่องไวถ้าเป็นการเอาผิดกับพวกต่อต้าน คสช. โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง
ดังเช่นกรณีการร้องเรียนว่าพรรคพลังประชารัฐระดมทุนไม่ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย
คำตอบที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี
ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนผู้ร้องได้รับจาก กกต. อันยืดยาว
แต่ในประเด็นสำคัญเรื่องการจัดเลี้ยงโต๊ะจีนระดมทุน วงเงิน ๖๕๐ ล้านบาท แต่พรรคฯ สามารถแจ้งรายรับได้เพียง
๙๐ ล้านบาท เข้าข่ายความผิดมาตรา ๖๔ พรป.พรรคการเมืองนั้น
“เห็นว่า กรณีผู้ร้องเรียนในประเด็นดังกล่าวซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจึงรอผลการพิจารณาดังกล่าวเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในประเด็น”
ที่ผู้ร้องกล่าวหา
ไหนจะพบว่าในส่วนของตัวเลขที่ยอมแจ้งว่า
พปชร.ได้รับแค่ ๙๐ ล้านบาท ก้อนใหญ่ที่สุด ๒๔ ล้านบาทมาจากบริษัทคิงพาวเวอร์ที่เพิ่งได้สัมปทานร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินมาหมาดๆ
ทำให้เกิดคำถามจี้ใจว่าเรื่องอย่างนี้องค์การต้านคอรัปชั่นแห่งประเทศไทยไฉนนิ่งเฉย
(https://www.matichon.co.th/politics/news_1521307 และ https://www.matichon.co.th/local/crime/news_1520654)
ทั้งที่ในรัฐบาลก่อนองค์การนี้กระฉับกระเฉงตรวจสอบอย่างแข็งขัน
ขณะที่ประธานองค์การดังกล่าวก็ยังเป็นคนๆ เดียวกันอยู่ ตลกร้าย ประมนต์ สุธีวงศ์
ประธานคนนี้เพิ่งได้รับแต่งตั้งจาก คสช.ให้เป็นหนึ่งใน สว.๒๕๐ คนที่เตรียมโหวตให้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง
ยังมีคำถามแสบทรวงตามมาด้วยว่า “คดี ‘พรีอุส’ ของประมนต์ ไปถึงไหนแล้ว ใครทราบบ้าง” (independence @redbamboo16) ทราบแต่ว่าคดีดังกล่าวเกิดจากการที่นายประมนต์นำเข้ารถขับเคลื่อนด้วยกำลังไฟฟ้ารุ่นนี้ของบริษัทโตโยต้าโดยเลี่ยงภาษี
คดีคงไม่หายไปไหน
เพียงแต่มลายกลายเป็นฝุ่นพิษ พีเอ็ม ๒๕ ที่เคยลอยฟ่องอยู่กลางบรรยากาศนครหลวง
เดี๋ยวนี้อาจถูกฉีดน้ำหล่นอยู่ตามผิวถนนและหลังคาบ้านเรือนและตึกรามของกรุงเทพมหานคร
รอบ่อนไส้ความสุขสมบูรณ์ของประชาชนต่อไป