วันจันทร์, มิถุนายน 03, 2562

การทำร้ายนักกิจกรรมประชาธิปไตย ชี้ชัดว่าเกิดจากน้ำมือของรัฐบาลฟ้าสซิสต์


นักกิจกรรมที่ต่อต้านรัฐประหารและเชิดชูประชาธิปไตยถูกทำร้าย นี่ไม่ใช่เหตุเฉพาะตัวหรือเป็นเรื่องมโนสาเร่แล้วแน่นอน กรณี จ่านิวเป็นรายที่สามชี้ชัดว่าเป็นการทำให้บาดเจ็บในทางคุกคาม ข่มขู่ และบังคับให้หวาดกลัวด้วยความโหดร้าย

บุคคลิกภาพของเอกชัย หงส์กังวาน อนุรักษ์ เจตวนิชย์ และสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ อาจไม่ถึงขั้นทำให้ซาบซึ้งตรึงใจเป็นไอดอลของคนจำนวนมาก แต่กิจกรรมที่พวกเขามุ่งมั่นรณรงค์ไม่ย่นย่อหยุดยั้ง เป็นคุณูปการแก่ขบวนการประชาธิปไตยอย่างยิ่งยวด

เพราะการที่พวกเขาไม่ยอมหยุดนี้เองทำให้พวกเผด็จการไม่สามารถลอยนวลตบตาคนทั้งประเทศและทั้งโลกได้ ถึงแม้จะไม่ทำให้พวกมันระคายเคือง แต่อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เป็นที่รับรู้ว่าเผด็จการยังมีอยู่ และสิ่งที่พวกนี้ทำกับประเทศชาติมิใช่เรื่องถูกต้อง ควรแก่การประณามสกัดกั้น และต่อต้าน

แต่แล้วการที่พวกเขาตื๊อและดื้อรั้นกลับทำให้เป็นเป้าการลอบทำร้าย บุกทำร้าย และกลุ้มรุมทำร้าย ผู้สนับสนุนบางส่วนอาจเห็นว่าการยั่วยุและถูกทำร้ายยิ่งประจานให้เห็นความชั่วร้ายของผู้มีอำนาจมากขึ้น ในขณะที่ผู้สั่งการและลงมือเชื่อว่าอาการบาดเจ็บจะทำให้คนเหล่านั้นระย่อ ท้อถอยไปในที่สุด

สำหรับผู้ที่อยู่วงนอกเป็นได้สองทางเท่านั้น หากละเลยหรือแสดงความสะใจก็เท่ากับสนับสนุนฝ่ายเผด็จการ ถ้าเห็นด้วยและเห็นอกเห็นใจในความมุ่งมั่นของพวกเขา อย่างน้อยๆ ต้องไม่เฉย ซึ่งในที่นี้ไม่หมายความว่าจะต้องออกโรงสนับสนุนพวกเขากันทุกคนไป เพียงแค่ไม่เมินกับเหตุที่เกิดขึ้นก็ใช้ได้

กรณีจ่านิวที่ถูกชายซึ่งสวมหมวกกันน็อคพรางใบหน้าสี่ห้าคนรุมทำร้ายเมื่อคืนวันที่ ๒ มิถุนา จนหน้าตาบวมปูด มีบาดแผลเล็กน้อยที่มือ ทว่าอาการภายในไม่ดีนักจึงได้ทำการนำส่งโรงพยาบาล เป็นเหตุไม่ธรรมดาและไม่ควรเกิด
 
มันเป็นสภาพของอาณาจักรแห่งความหวาดกลัวในระบบฟ้าสซิสต์ ที่มีเฉพาะคนที่เป็นลิ่วล้อ สมุนรับใช้ หรือผู้ให้การสนับสนุนอำนาจเผด็จการเท่านั้น จึงจะไม่เกิดความรู้สึกหวาดหวั่นว่าถูกข่มเหง

จะอ้างอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นเลยว่า การทำร้ายจ่านิว เอกชัย และฟอร์ด เส้นทางสีแดง ล้วนมีเหตุจูงใจทางการเมืองจากความไม่พอใจของ คสช.และเครือข่ายทั้งสิ้น จ่านิวถูกรุมตีหลังจากที่ไปตั้งโต๊ะล่ารายชื่อเพื่อเรียกร้องให้ สว.งดออกเสียงในการโหวตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ ๕ มิถุนายนนี้

ฟอร์ดก็ถูกทำร้ายบาดเจ็บขนาดหามส่งโรงพยาบาลหลังจากเตรียมการไปประท้วงการการประชุมสภาผู้แทนฯ เพื่อเลือกประธาน ส่วนเอกชัยนั้นหลายครั้งหลายหนถูกดักตีขณะเดินทางกลับจากการประท้วงในเชิงสัญญลักษณ์ต่อการครองอำนาจของ คสช.

การทำร้ายนักกิจกรรมเหล่านี้ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่มีการจับกุมตัวคนร้าย ครั้งเดียวที่มีการดำเนินคดีกับคนที่บุกชกเอกชัยสองหน คนร้ายเพียงเสียค่าปรับและโทษทัณฑ์ให้รอลงอาญา นี่แสดงให้เห็นว่าสังคมไทยยังเต็มไปด้วยการใช้อำนาจเถื่อน

ที่กฎบัตรกฎหมายไร้น้ำยาถ้าเป็นการเอาผิดกับฝ่ายสนับสนุนคณะรัฐประหารและรัฐบาล คสช. แต่จะคล่องแคล่วว่องไวถ้าเป็นการเอาผิดกับพวกต่อต้าน คสช. โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง ดังเช่นกรณีการร้องเรียนว่าพรรคพลังประชารัฐระดมทุนไม่ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย

คำตอบที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนผู้ร้องได้รับจาก กกต. อันยืดยาว แต่ในประเด็นสำคัญเรื่องการจัดเลี้ยงโต๊ะจีนระดมทุน วงเงิน ๖๕๐ ล้านบาท แต่พรรคฯ สามารถแจ้งรายรับได้เพียง ๙๐ ล้านบาท เข้าข่ายความผิดมาตรา ๖๔ พรป.พรรคการเมืองนั้น

“เห็นว่า กรณีผู้ร้องเรียนในประเด็นดังกล่าวซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจึงรอผลการพิจารณาดังกล่าวเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในประเด็น” ที่ผู้ร้องกล่าวหา
 
ไหนจะพบว่าในส่วนของตัวเลขที่ยอมแจ้งว่า พปชร.ได้รับแค่ ๙๐ ล้านบาท ก้อนใหญ่ที่สุด ๒๔ ล้านบาทมาจากบริษัทคิงพาวเวอร์ที่เพิ่งได้สัมปทานร้านค้าปลอดภาษีในสนามบินมาหมาดๆ ทำให้เกิดคำถามจี้ใจว่าเรื่องอย่างนี้องค์การต้านคอรัปชั่นแห่งประเทศไทยไฉนนิ่งเฉย


ทั้งที่ในรัฐบาลก่อนองค์การนี้กระฉับกระเฉงตรวจสอบอย่างแข็งขัน ขณะที่ประธานองค์การดังกล่าวก็ยังเป็นคนๆ เดียวกันอยู่ ตลกร้าย ประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานคนนี้เพิ่งได้รับแต่งตั้งจาก คสช.ให้เป็นหนึ่งใน สว.๒๕๐ คนที่เตรียมโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง

ยังมีคำถามแสบทรวงตามมาด้วยว่า “คดี พรีอุส ของประมนต์ ไปถึงไหนแล้ว ใครทราบบ้าง” (independence @redbamboo16) ทราบแต่ว่าคดีดังกล่าวเกิดจากการที่นายประมนต์นำเข้ารถขับเคลื่อนด้วยกำลังไฟฟ้ารุ่นนี้ของบริษัทโตโยต้าโดยเลี่ยงภาษี

คดีคงไม่หายไปไหน เพียงแต่มลายกลายเป็นฝุ่นพิษ พีเอ็ม ๒๕ ที่เคยลอยฟ่องอยู่กลางบรรยากาศนครหลวง เดี๋ยวนี้อาจถูกฉีดน้ำหล่นอยู่ตามผิวถนนและหลังคาบ้านเรือนและตึกรามของกรุงเทพมหานคร รอบ่อนไส้ความสุขสมบูรณ์ของประชาชนต่อไป