วันศุกร์, กันยายน 08, 2560

พิษโพลปกเกล้าฯ ไม่เท่าพิษ 'เนเน่' ทำเอาพวกจุฬ้าสิค inflicted wound ‘แผลลาม’ กันยาว

สามวันแล้วยังไม่สร่าง พิษโพลปกเกล้าฯ ซัด ระบัดเป็นให้พวกคอยเตะทักษิณดันสะดุดขอนไม้เกือบหน้าคว่ำ พอลุกได้โหวกเหวกกันใหญ่ กระทั่งอดีต สปท. เอากะเขาบ้าง ถึงขั้นแนะยุบทิ้งสถาบันฯ นั่นเชียว

ขนาดนั้นยังไม่เท่าพิษ เนเน่ ทำเอาพวกจุฬ้าสิค inflict wounded ‘แผลลาม กันยาว

เรื่องโพล วานนี้ (๗ ก.ย.) เสรี สุวรรณภานนท์ อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ (สปท.) ของขึ้นบ้าง อัดโพลปกเกล้าฯ ไม่รับใช้สภา (แกน่าเข้าใจผิดนิดนึงมั้งว่า นั่นหมายถึงสภาที่มาจากการเลือกตั้ง)

“เสียงบประมาณไปเป็นพันล้านบาท” ดันมาทำโพลคะแนนนายกฯ ในรอบ ๑๕ ปี “ไม่ใช่ภารกิจ...ไม่อาจทำให้เกิดประโยชน์ต่องานของรัฐสภา...หากไม่มีการปฏิรูป ก็ควรยุบเลิกไปเลยจะดีกว่า



เออ เอาที่ถูกใจก็ได้นะ ดูสิว่าพวกคนดีจะไม่ออกมาค้าน สถาบันของเค้าตั้งมานมนาน ทีตอนเขาวิแคะแซะเสื้อแดงไม่รู้กี่หน ไม่เห็นใครจะคิดยุบ

ปริญญา (ว่าที่ตัวชิงอธิการบดี มธ.) ซะยังดีกว่า ไม่อัดสถาบันแต่ซัดฐานันดร (ที่ห้า) แทน “เป็นเรื่องการพาดหัวข่าวที่ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนครับ” นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและความยั่งยืน ม.ธรรมศาสตร์ เขียนเฟชบุ๊คให้ สนข.อิศราเอามากระจาย

“ความจริงแล้วนายกรัฐมนตรีไม่ควรโมโหผลโพล เพราะถ้าไปอ่านดูผลโพลล์ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าโมโห เพราะเป็นการเปรียบเทียบในขณะที่แต่ละคนเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่คะแนนนิยมของอดีตนายกรัฐมนตรีในขณะนี้ นี่แสดงว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้อ่านผลโพล”


เอ๊า อย่าไปว่าเค้าอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ทั่นฟิตมากนะเรื่องการอ่านการวิเคาะ เห็นรูปหรือเปล่าตอนนั่งเครื่องไปจีนน่ะ ฉะนั้นต้องโทษสื่อเข้าไว้ สไตล์ปริญญา ณ มธ. เฮ้อ

ไปแถวจุฬาฯ ดีกว่า ล่าสุด เนติวิทย์ ยังอยู่ จะอีกนานแค่ไหนไม่รู้ นี่ก็โดนเตะออกจากสภานิสิตไปแล้วแต่สภาฯ เขาไม่ยอม ยังยื้อกันอยู่ ฝ่ายเนเน่ได้นักวิชาการสากลหนุน ด้านฝ่ายบริหารจุฬาฯ มีสมาคมศิษย์เก่าสามแห่งต่างคณะออกมาช่วยกันดันก้น

แต่ฝ่ายสากลหนักกว่า “นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว และนักเขียน เข้าร่วมลงชื่อในข้อเรียกร้องต่อจุฬาฯ มีกว่า ๑๐๐ คน” ร่วมลงนามแถลงการณ์ “เรียกร้องให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยกเลิกคำสั่งลงโทษนิสิตทั้ง 8 คน รวมทั้งนายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล”

ในจำนวนนั้น มีศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ๒๐ คน รวมทั้ง ศ. นอม ชอมสกี้ จากมหาวิทยาลัยแอริโซนา

เหตุผลหนึ่งของกลุ่มนักวิชาการส่วนใหญ่ที่ไม่รู้จักเนติวิทย์มากกว่าชื่อเสียง หัวก้าวหน้า ของเขาดังกระฉ่อนโลก มาจากศาสตราจารย์เพอรี่ ลิ้งก์ มหาวิทยาลัยพริ้นซ์ตัน ที่ว่า เนเน่ “กำลังใช้สิทธิมนุษยชนอันเป็นสากล ซึ่งควรได้รับการเคารพและสนับสนุนจากทั้งโลก”

กับอีกคน อาซีส นานดี้ นักทฤษฎีสังคมผู้ติดอันดับ ๑ใน ๑๐๐ ปัญญาชนสาธารณะ ของนิตยสาร Foreign Policy สอนมารยาททางวิชาการแก่จุฬาฯ “ไม่มีมหาวิทยาลัยใดเป็นมหาวิทยาลัยได้อย่างเต็มรูปแบบ หากนักศึกษาไม่มีสิทธิ์เห็นต่างและคัดค้าน”

ส่วน ศ. ลอว์เรนซ์ เอ็ม เคราส์ จากวิทยาลัยการสำรวจอวกาศและพื้นโลก มหาวิทยาลัยอริโซนา กล่าวว่า “ประเทศไทยจะต้องพึ่งพาคนรุ่นใหม่อย่างคุณ เพื่อรักษาประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศ และนำไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น”


นี่แหละคำถามของธนาพล อิ๋วสกุล “ใครรู้บ้างว่าอธิการบดีจุฬาชื่ออะไร มาจากคณะอะไร” ถึงได้ตามด้วยเลข ๕ หลายตัว ในเมื่อ “ผมเชื่อว่าน้อยคนนักจะรู้จักและตอบได้ หลายคนตอบผิดด้วย

แต่คนเกือบทั้งประเทศ (และต่างประเทศด้วย) รู้จักชื่อ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตชั้นปี ๒ คณะรัฐศาสตร์ นี่แสดงว่าผู้บริหารจุฬาโง่มาก ที่สร้างให้ เนติวิทย์ ดังได้ขนาดนี้

คำวิจารณ์ผู้บริหารจุฬาฯ วุฒิภาวะหกหล่น แทบจะน้อยกว่าเนเน่ น่าฟังมากในตอนนี้ เห็นจะต้องยกให้ นพ.สลักธรรม โตจิราการ ซึ่งอ้างถึงคำแถลงของจุฬาฯ ฉบับล่าสุดต่อกรณีเนติวิทย์ (https://www.matichon.co.th/news/655482) ที่ว่า
“ทุกชุมชนและสังคมมีสิทธิที่จะเรียกร้อง มิให้การแสดงออกนั้นละเมิดสิทธิและความเชื่อของบุคคลอื่น โดยเฉพาะเมื่อการแสดงออกนั้นกระทบต่อ ความศักดิ์สิทธิ์ ความอ่อนไหว และทำร้ายความรู้สึกของบุคคล

ลูกชายหมอเหวงตอบว่า “ถ้าเราอ้างสิทธิ์เช่นนี้ ศาสนาใหญ่ทั้ง ๓ ในโลกจะไม่มีสิทธิ์เกิดขึ้นมาเลย เพราะทั้ง สามศาสนาเกิดขึ้นด้วยการท้าทายความเชื่อของผู้อื่นอย่างถึงรากถึงโคนทั้งสิ้น”

นพ.สลักธรรม แจงไว้ละเอียด อธิบายถึงที่มาที่เป็นของศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม ว่าล้วนแต่เกิดขึ้นมาจากการท้าทายความเชื่อเดิมทั้งนั้น หน้าที่ของสาวกคือต้อง “พยายามทำความเข้าใจแนวคิดของศาสดาของตนในบริบทของยุคปัจจุบัน และนำเสนอแนวคิดอันเป็นประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติต่อไป”

ถ้าใช้การลงโทษเพื่อปิดโอกาสละก็ จะก่อเกิด “การปลุกปั่นให้เกลียดชังกันมาบีบบังคับ สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็จะรู้จักแต่การปฏิสัมพันธ์เชิงลบ คือ กดขี่ และ แก้แค้น ต่อกันไม่สิ้นสุด

“ถ้ากดขี่เอาไว้ได้ ก็จะทำให้สังคมนั้นกลายเป็นสังคมที่ สนิมเขรอะ ไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้ เช่นกรณีของจีนในช่วงปลายของยุคราชวงศ์ชิง ที่ยึดติดกับลัทธิขงจื๊อแบบตายซาก จนไม่สามารถปรับตัวให้สู้กับจักรวรรดินิยมตะวันตกได้

แต่ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งสามารถรวมกำลังขึ้นมาได้ (เพื่อแก้แค้น) ก็จะกลายเป็นสงครามระหว่างศาสนาหรือลัทธิ อย่างที่เคยเกิดขึ้นในยุโรปในกรณีของคริสตศาสนาระหว่างคาธอลิกและโปรเตสแตนท์ หรือกรณีของศาสนาอิสลามระหว่างสุหนี่และชีอะต์ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายมหาศาล

และเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะเด็ดขาด ก็จะปราบปรามอีกฝ่ายจนการเป็นการจองเวรกันไม่มีที่สิ้นสุด”


ต้องห่วงตรงที่รูปการณ์มันทำท่าจะเป็นอย่างนั้น