วันพุธ, กันยายน 06, 2560

ปกเกล้าฯ ออกโพลชี้ลุงตูบเกือบเชือดทักกี้ ทั้งที่สามปีมานี้ผิดผีผิดไข้ มิลเล็นเนียลส์แบกหนี้ตรึม

อ่านโพลวันนี้มีทึ่ง ไม่ได้ทึ่งที่ความนิยมลุงตูบเกือบเชือดทักกี้ได้ แต่ทึ่งที่ไหงตอนนี้คะแนนประยุทธ์ยังไม่เกิน ๙๐ ทั้งที่ขมักเขม้นเตรียมเป็นนายกฯ เลือกตั้งอีกสองสมัย

(ไม่เชื่อไปดูรูปของวาสนา นาน่วม ก่อนไปประชุมบริ้คส์พลัส กับเรื่องนักข่าวเสียขวัญรายงานถึงน้อง บก.ในโพสต์ที่แล้วสิ https://www.facebook.com/Thaienews009/posts/1420679894648293) แหม่...พระปกเกล้าฯ ทำงี้เดี๋ยวก็ เสียของ

โพลสถาบันพระปกเกล้าฯ เมื่อวานนี้ (๕ กันยา) จากการสุ่มตัวอย่างตั้ง ๓ หมื่น ๓ พันกว่าคน ได้ความว่า ด้านความเชื่อมั่นของประชาชนต่อนายกรัฐมนตรีในรอบ ๑๕ ปี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ สองสมัย (นับหัวไม่นับท้าย) ได้อันดับหนึ่งถึงร้อยละ ๙๒.๙ ในปี ๒๕๔๗

ส่วนของประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ได้เป็นนายกฯ จากการยึดอำนาจน้องสาวทักษิณ ได้รับความเชื่อมั่นถึง ๘๗.๕ เปอร์เซ็นต์ ในปีต่อมา แล้วตามด้วย ๘๔.๖ กับ ๘๔.๘ ในสองปีต่อมา ขณะที่ทักษิณคะแนนตกลงไปเหลือ ๗๗.๒ ในปี ๒๕๔๙ ก่อนถูกพวก คมช. (คณะยึดอำนาจนำร่อง คสช.) ทำรัฐประหาร


สถาบันปกเกล้าฯ ไม่บอกว่าคะแนนทักษิณตอนปี ๔๘ เป็นเท่าไร แต่ถ้าหาค่าเฉลี่ยจากสองปีก่อนและหลังจะได้ราว ๘๕ เปอร์เซ็นต์พอดี (นี่เป็นเพียงประมาณการ ของจริงอาจมากหรือน้อยกว่านี้ แต่ก็ยกประโยชน์ให้แก่จำเลย)

ดังนั้น ถ้าคิดค่าเฉลี่ยสามปีของประยุทธ์ จะเฉือนทักษิณเอาชนะไปได้แค่เส้นยาแดงที่ ๘๕.๖

ด้านคะแนน ไม่ค่อยนิยมน้อยสุดอยู่กับสมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในปี ๒๕๕๑ ที่ ๓๗.๖ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีการประท้วงรัฐบาลอย่างหนักหน่วงจากพันธมิตรประชาชนฯ (แต่ปรากฏว่าคดีสลายชุมนุมกลับยกฟ้องซะงั้น จน คสช.ต้องปฏิเสธโกลาหลว่าไม่ใช่เพราะปัจจัย วงษ์สุวรรณ)

ดีกว่าหน่อยเดียวได้กับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐบาล ราบ ๑๑ต่อด้วย ศอฉ. (สมัยเดียวกันนี่แหละแต่เรื่องเยอะ) ปี ๕๓ ได้ ๖๖.๖% พอปีต่อมา ๕๔ ตกลงไปเหลือแค่ ๕๑.๒

ครั้นพอยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับเลือกตั้งท่วมท้น นำพรรคไทยรักไทยเดิมกลับมาเป็นรัฐบาลในชื่อใหม่ เพื่อไทยเธอได้รับความนิยม ๖๙.๙% แล้วหลังน้ำท่วมและพวกผู้ดีเป่านกหวีดกับ กปปส. เริ่มออกมาเดินชุมนุมกลางถนนก่อนหลบเข้าไปกินกลางวันกันที่สยามคอนติเน็นตัล แม้กระทั่งมีการปิดกรุงเทพฯ ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ อาหารดี-ดนตรีเพราะแถมด้วยรายการ บลูสกาย+อี๊ติ่ง ถล่ม โฟร์ซีซั่นแต่คะแนน อิปูว์ตกลงไปแค่ ๖๓.๔

ลองคิดค่าเฉลี่ยเทียบความนิยมอิปูว์กับไอ-ม้าร์คดูบ้าง ยิ่งลักษณ์ล้ำหน้าอภิสิทธิ์เยอะอยู่ ๖๖.๗ ต่อ ๕๖.๔ สุดสวยชนะสุดหล่อแน่นอน

มิน่าตอนนี้อดีตนายกฯ ฟันน้ำนมถึงได้ร้องแรกแหกกระเชอให้กระทรวงต่างประเทศรีบถอนพาสปอร์ต น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังดีที่ดอน ปรมัตถ์วินัย ไม่กล้าเต้นตาม อ้างว่าต้องรอคำตัดสินศาลฎีกาคดีอาญานักการเมืองในวันที่ ๒๗ กันยายนเสียก่อน

พระปกเกล้าฯ ไม่ลืมวัดความนิยมตะหานไว้ด้วย ว่าค่าเฉลี่ย ๑๕ ปีอยู่ที่ ๗๗.๙๘% ไม่เลวแต่ก็ไม่ถือว่าดี (ไว้ตอนท้ายจะบอกว่าเพราะอะไร) ต่ำสุดยุคขิงแก่ สุรยุทธ์ จุลานนท์ สูงสุดยุคผักตบ หมามุ่ย และมะนาว ของประยุทธ์


ทุกอย่างปูทางไปสู่การมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งภายใต้กำกับของ คสช. ทั้งก่อนและหลังอย่างน้อย ๕-๒๐ ปี อย่างมากใครจะรู้ว่าจะมีการสืบสานตีวงของ คสช.อีกนานเท่าไร แม้นว่ารองนายกฯ คสช. สองคนช่วยกันย้ำว่าอีกปีหนึ่งก็ยัง ไม่มีการเลือกตั้งแน่ๆ

หลังจากที่ กกต. เผือก ร้อนออกมาตั้งธงว่าจะต้องเลือกตั้งในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑ ทั่นรองฯ วิษณุ เครืองามรีบแก้ทันทีว่าไม่ใช่ นั่นแค่ตุ๊กตา นักข่าวเลยเอาไปถามอีกทั่นรองฯ ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้คำตอบว่าไม่ใช่ตุ๊กตาแต่เป็น ไทม์ไลน์ที่จริงต้องรอให้กฎหมายลูกเสร็จก่อน “แต่ยังไม่รู้ว่ากฎหมายลูกจะเสร็จเมื่อใด

วิษณุกลับมาตอบใหม่นั่นละ กฎหมายลูกเสร็จแล้วก็นับต่อไปอีก ๕ เดือน แต่ต้องอย่าลืมบวกเวลาที่ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยด้วย กตต. สมชัย ศรีสุทธิยากร เลยย้อนมาตอบบ้างว่า ที่กำหนดเดือนสิงหา ๖๑ เป็นแค่เตรียมการ ยังไม่นิ่ง “อย่าเพิ่งตื่นเต้น” (เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นละสิ)


นี่ละ เล่นลิ้น รวยคำ (ห้ามผวน) กันเหลือเกินพวกเจ้าประคุณ คสช. ลิ่วล้อ และขนหน้าแข้ง จะเอาอย่าง อียิปต์โมเดลประธานาธิบดีแอ็บเดล แฟทตาห์ เอลซิซี ที่ยึดอำนาจ กำจัดมุสลิมบราเธอร์ฮู้ดฆ่าทิ้งจับขังคุกจนเกลี้ยง แล้วลงเลือกตั้งได้คะแนน ๙๖ เปอร์เซ็นต์ ครองเมืองร่วมกับตุลาการที่ส่งฝ่ายค้านเข้าตะราง และแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจผู้นำ อย่างนั้นล่ะสิ

ขณะที่ทำไม่รู้ไม่ชี้กับสภาพตกต่ำทางสังคมและความเป็นอยู่ของชาวบ้าน สองวันก่อน (๔ กันยา) สภาพัฒน์ฯ หรือสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เผยถึงภาวะสังคมไทยเวลานี้ (ไตรมาสสอง ๒๕๖๐) “ปัญหาเศรษฐกิจยังน่าเป็นห่วง เพราะแรงงานจำนวนมากยังว่างงาน”


นอกจากภาคเกษตรที่การจ้างงานเพิ่มจากปีที่แล้วจิ๊บจ้อย ๐.๔% ด้านอื่นๆ กลับลดลง ทำให้อัตราว่างงานโดยรวมอยู่ที่ ๑.๒% ค่อนข้างสูงสำหรับประเทศไทยที่ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอยู่ที่แรงงานนอกระบบ ทำให้ตัวเลขว่างงานต่ำกว่า ๑ เปอร์เซ็นต์เรื่อยมา

แต่ไม่ใช่ในช่วงสามปีมานี้ เกิดอาการผิดผีผิดไข้กระทั่งในด้านแรงงาน เช่นแรงงานเพิ่งจบการศึกษา เข้าสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งขาดทักษะ ไม่เคยทำงานมาก่อน เกือบ ๔๐ เปอร์เซ็นต์เป็นพวกจบมหาวิทยาลัย ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงตกงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

เพราะความไม่สอดคล้องของคุณสมบัติแรงงาน และวุฒิการศึกษา ที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด


ดูจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลก มหิดลจัดว่าเป็นอันดับหนึ่งของไทย ได้อันดับ ๕๐๐ จุฬาลงกรณ์ที่ฝ่ายบริหารกำลังทะเลาะกับเด็กหัวก้าวหน้าคนหนึ่ง และพยายามกดขี่กลั่นแกล้ง ใกล้จะถึงจุดไล่ออก รองลงไปได้อันดับ ๖๐๐ เช่นนี้ยิ่งงัดพายถอยหลังยิ่งห่างจากมาตรฐานโลกออกไปทุกที

แถมอนุชนที่จะต้องเป็นผู้รับช่วงนำพานาวารัฐไทยเข้าสู่ศตวรรษที่ ๒๒ หรือคนหนุ่มสาวในวัย ๒๕-๓๕ ปี ที่ในประเทศตะวันตกเรียกว่าพวก millennials (รายงานสภาพัฒน์เรียก เจ็นเนอเรชั่นวาย) นั้นอยู่ในสถานะน่าเป็นห่วง

เพราะพวกนี้กลายเป็นพลเมืองติดหนี้ เฉลี่ยรวมกัน ๒.๑๓ ล้านล้านบาท เฉพาะต่อหัวของคนอายุ ๒๙ มีหนี้เกาะไหล่กันไว้แล้วถ้วนหน้ารายละ ๑ แสน ๕ หมื่นบาท

ในหลักการเศรษฐกิจดิจิทัลที่จะผลักดันประเทศไทยไปสู่ยุค ๔.๐ ดัง คสช. จ้อนักจ้อหนา องค์ประกอบสำคัญของการ ไม่ถอยหลังลงคลองอยู่ที่การผลิตพลเมือง ๔.๐ มารองรับการขับเคลื่อนนี้

แล้วถ้าพลเมืองที่ว่ามีหนี้ต้องแบกอยู่บนบ่าตั้งแต่เริ่มออกเรือกันแล้ว ไม่ห่วงกันบ้างหรือไรว่าจะกลายเป็นรุดหน้าลงเหวไปแทน