วันจันทร์, พฤษภาคม 01, 2560

ประยุทธ์จะไปอเมริกาอีกนะเนี่ย เที่ยวนี้วอชิงตัน ดีซี ดีจัง พวกสิทธิมนุษยชนเขารออยู่

พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ แจ้งว่า “นายกรัฐมนตรีตอบรับคำเชิญของผู้นำสหรัฐอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ต้องรอกำหนดวันอย่างเป็นทางการอีกครั้ง”


นับเป็นครั้งที่สามในชีวิตการเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้เดินทางไปสหรัฐ ซึ่งคราวนี้สำมะคัญเพราะจะได้เจอทรั้มพ์โดยตรง ตามคำเชิญของประธานาธิบดีอเมริกันคนใหม่ที่รอดมาได้ครบ ๑๐๐ วัน ท่ามกลางความอื้อฉาวต่างๆ นานา โดยเฉพาะประเด็นที่ว่ารัสเซียช่วยให้ชนะเลือกตั้ง ที่ยังคาราคาซังสอบสวนกันอยู่กระทั่งบัดนี้

ว่าไปแล้วนายกฯ ของไทยที่มาจากการยึดอำนาจคนนี้ได้ไปอเมริกาบ่อยกว่าใครๆ นี่อยู่มายังไม่ครบสามปีดี ไปอเมริกาแล้วสามหน

หนแรกอาศัยใบบุญสหประชาชาติได้ไปร่วมประชุมสมัชชาใหญ่ที่นิวยอร์ค หนสองติดสอยห้อยตามกลุ่มประเทศอาเซียน ตามคำเชิญประธานาธิบดีโอบาม่าไปซัมมิตที่ซันนี่แลนด์ แคลิฟอร์เนีย

หนนี้ข่าวว่านายทรั้มพ์ต่อสายถึงโดยตรง ที่จริงก่อนหน้านี้ไม่กี่วันทูตกลินน์ เดวี่ส์ เข้าพบแจ้งล่วงหน้าไว้แล้ว หลังจากที่ทรั้มพ์โทรก็เป็นข่าวของโฆษณาชวนเชื่อ สายทหาร ทำยังกับว่าประธานาธิบดีสหรัฐมาปรึกษาทั่นผู้นัมพ์ไทยคนเดียว

ทั้งที่ สุณัย ผาสุก เจ้าหน้าที่ฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ ประจำประเทศไทย ตั้งข้อสังเกตุไว้ว่า “กฎหมายอเมริกาห้ามหัวหน้าคณะรัฐประหารไปเยือนแบบทวิภาคี ที่ผ่านมาประยุทธ์ต้องโหนเดินทางพ่วงไปกับผู้นำอาเซียน” (Sunai @sunaibkk)

แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับประธานาธิบดีที่ชื่อ ดอแนลด์ ทรั้มพ์ ผู้ซึ่งทำอะไร ฝืนและ ไม่ทำ อะไรหลายอย่างที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของการเป็นประธานาธิบดีอเมริกัน แม้จะไม่มีกฎหมายกำหนดไว้ก็ตาม เช่นการไม่ยอมเปิดเผยสถานะการเสียภาษี

วันรุ่งขึ้นถึงได้แจ่มแจ้งว่าทรั้มพ์โทรหาสามคน และชวนให้ไปเยือนสหรัฐเหมือนกัน ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าต้องการจะบอกว่า หากเกิดวิกฤต ‘Pyongyang Nuclear Crisis’ ทำนอง ‘Cuban Missile Crisis’ ละก็ ยูจะยืนอยู่ตรงไหน

ประธานาธิบดีอเมริกันต่อสายคุยกับประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ของฟิลิปปินส์ก่อนหน้าการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งล่าสุดที่มะนิลาเมื่อ ๒๘ เมษายน และได้ชวนประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ไปเยือนอเมริกาไว้ด้วย

ครั้งนี้โทรถึงหัวหน้ารัฐบาลไทยและนายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง ของสิงคโปร์ในเวลาไล่เรียกัน “ตามที่ทำเนียบขาวเปิดเผยว่าผู้นำสหรัฐฯ ต้องการความร่วมมือจากผู้นำกลุ่มประเทศอาเซียน ในการใช้กระบวนการทางการทูตและเศรษฐกิจกดดันเกาหลีเหนือ และเชิญผู้นำของทั้งสองประเทศเดินทางไปเยือนวอชิงตัน”


ประธานาธิบดีทรั้มพ์คงจะไม่ใส่ใจรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนของไทย เช่นเดียวกับที่เขากล่าวชื่นชมประธานาธิบดี อับเดล ฟัตตาห์ เอล-ซิซี ของอียิปต์ระหว่างเยือนวอชิงตันเมื่อต้นเดือนนี้ ขณะที่ฝ่าเท้าข้างหนึ่งของเขาเหยียบรายงานประจำปีของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐสรุปการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอียิปต์เอาไว้


แต่ยังมีสมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐจำนวนมาก ทั้งในสภาผู้แทนและวุฒิสภา ที่ใส่ใจกับปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศที่เป็นเป้าการตรวจสอบขององค์การสิทธิมนุษยชนนานาชาติ

ไม่ว่าประธานาธิบดีจะตีหน้าอย่างไร ตราบเท่าที่มีเสียง ยี้ต่อผู้นำเผด็จการที่มาเยือน มาตรฐานจริยธรรมในด้านสิทธิมนุษยชนย่อมใช้เป็นเครื่องต่อรองในการเจรจา ไปสู่การได้เปรียบของสหรัฐมากกว่าฝ่ายอาคันตุกะ

แล้วประเทศไทยมีอะไรดีบ้างไหมในมาตรฐานเช่นว่า สามปีที่ผ่านมานับแต่การยึดอำนาจโดยคณะทหาร คสช. เรื่องสิทธิมนุษยชนจัดอยู่ในเกรด ต่ำช้าเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่เฉพาะการละเมิด ก้าวร้าว เจ้าเล่ห์กลั่นแกล้ง โดยทหาร-ตำรวจ ต่อพลเรือนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย

การล่วงล้ำสิทธิติดตัวแห่งความเป็นมนุษย์ในประเทศไทย เดี๋ยวนี้ได้แพร่หลายในหมู่องค์กรตุลาการและศาลเสียแล้ว เพียงเพื่อที่จะใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงให้ยำเกรงและหวาดกลัวต่อคณะทหารและสถาบันกษัตริย์

การหน่วงเหนี่ยวคุมขัง ไผ่ ดาวดิน อยู่ที่ทัณฑสถานบำบัด จังหวัดขอนแก่น มาตั้งแต่วันที่ ๒๒ ธ.ค. ๒๕๕๙ โดยที่ศาลปฏิเสธการขอประกันปล่อยตัวชั่วคราวครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งที่มูลนิธิ ๑๘ พฤษภารำลึก ของเกาหลีใต้ ร้องขอต่อหัวหน้ารัฐประหารไทย ให้ปล่อยตัวเขาออกไปรับ รางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชน ประจำปี ๒๕๖๐ เป็นความต่ำช้าที่ติดหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ตลอดเวลาไม่ว่าเขาจะเดินทางไปแห่งหนใดในโลก

ต่างกับนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ที่แม้ว่าจะสูญเสียอิสรภาพ คาดว่าคงต้องติดคุกเป็นเวลานานเช่นเดียวกับนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ซึ่งต้องขังมาเป็นเวลาหลายปีแล้วในคดี ๑๑๒ ทำนองเดียวกับไผ่ ยืนกรานความบริสุทธิ์และสิทธิของตน ท้าทายต่อการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่คำนึงถึงความเป็นคนในประเทศไทย

รังสีเหนือเกล้าของไผ่ ดังที่รางวัลกวางจูบรรยายสรรพคุณของเขาไว้ ในความเป็น “ตัวอย่างที่หาได้ยากยิ่งในการต่อสู้เพื่อพิทักษ์ประชาธิปไตยของไทย และเชิดชูไว้ซึ่งหลักแห่งความเสรีภาพ ความเสมอภาค และสิทธิมนุษยชน”

กลับจะส่องประกายไปทั่วโลก ตราบเท่าที่มโนคติแห่งศักดิ์ศรีความเป็นคน ยังคงฝังแน่นในจิตสำนึกของมวลมนุษยชาติ


(หมายเหตุ อ่านเพิ่มเติมสรรพคุณแห่งการเป็นนักสิทธิมนุษยชนรางวัลกวางจู ของไผ่ ดาวดิน จากบทความของ สุรพศ ทวีศักดิ์ เรื่อง ปล่อยไผ่ไปรับรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชนได้ที่ ประชาไทhttps://prachatai.com/journal/2017/04/71242)