วันพุธ, ตุลาคม 19, 2559

พอเข้าวันที่หกของการถวายอาลัยพระเจ้าอยู่หัวในโกศ ประเทศไทยก็กลายเป็นสังคม ‘Walking Death’ ของพวกซอมบี้ไปเสียฉิบ





พอเข้าวันที่หกของการถวายอาลัยพระเจ้าอยู่หัวในโกศ ประเทศไทยก็กลายเป็นสังคม ‘Walking Death’ ของพวกซอมบี้ไปเสียฉิบ

มีแต่คอยจ้องสูบเลือดกินเนื้อกัน

เหมือนดั่งกรณีกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ อ.พานทอง ชลบุรี ชวนกันไปลากชายหนุ่มคนหนึ่งออกมาจากบ้าน ต่อย ตบ ถีบ เตะ จนเห็นชัดว่าหน้าตาเขาฟกช้ำ เพื่อจะนำตัวไปกราบพระบรมฉายาลักษณ์และให้กล่าวคำยืนยันว่า ‘รักพ่อหลวง’

แน่นอน ‘ความผิด’ ที่คนพวกนี้ทำตัวเป็น ‘ศาลเตี้ย’ จัดการ ก็คือชายหนุ่มคนนั้นเขียนข้อความไปในทางหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รายละเอียดไม่ต้องรู้ ไม่ต้องมีการสืบสวนสอบสวน พวกเขาบอกว่าใช่ก็ต้องใช่

นับประสาอะไรกับพวกกุ๊ย นักเลง หรือก๊วนข้างตลาด ระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ของรัฐบาลทหาร คสช. ก็ยังมีจิตสำนึกเยี่ยงนั้น

“เคยบอกแล้วว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่ามาตรการทางการสังคม”





พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายากล่าวถึงเหตุการณ์ที่ฝูงคนไปรุมล้อมหน้าร้านน้ำเต้าหู้ตอนกลางดึกที่ภูเก็ต กดดันเจ้าหน้าที่ให้นำตัวผู้ที่พวกตนตัดสินแล้วว่าเขามีความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไปดำเนินคดี

ทั่นรัฐมนตรียังไปไกลกว่ามาตรการทางสังคมอีกนิด ที่แจ้งว่า “ได้ทำหนังสือขอให้ต่างประเทศเข้าใจและเห็นใจไทย” และมอบหมายให้สถานทูตต่างๆ ตามล่าหาตัวบุคคลที่ถูกข้อหา ๑๑๒ ซึ่งอยู่ในต่างประเทศ

มิใยที่พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ แห่งวัดสร้อยทอง กรุงเทพฯ จะออกมาเตือนสติรัฐมนตรีอย่าได้ทำทีให้ท้าย “ไปรับรองความชอบธรรมว่า การข่มขู่คุกคามคนอื่น จนถึงทำร้ายร่างกาย อย่างการล้อมบ้าน การตบหน้า การถีบหัว กลายเป็นเรื่องที่ถูกต้องไปเสียแล้ว”

(http://www.matichon.co.th/news/326864)

สุดจะเดาได้ว่าทั่นรัฐมนตรีจะสำเหนียกกับคำ “ขอตำหนิ" ของศิษย์ตถาคตองค์นี้หรือเปล่า แต่การตีขลุมอมพะนำได้ก่อให้เกิด ‘มาตรการทางสังคม walking death’ อีกไม่หยุดหย่อน

ล่าสุดเมื่อตอนสี่ทุ่มวันวาน (๑๘ ต.ค.) ที่ระยองมีการชุมนุมพลซอมบี้จะไปล้อมบ้านคนหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกัน พอดีมีผู้แจ้งว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ป่วยจิตเภท รายการศาลเตี้ยจึงได้ระงับไป แต่ไม่วายได้รับคำมั่นจากตำรวจท้องที่ว่าจะจัดการดำเนินคดีให้แล้วด้วย

(http://www.matichon.co.th/news/327151)

นี่เท่ากับว่าจะครบเจ็ดวันของการตบ เตะ ถีบเพื่อพ่อแล้วนะ

แม้กระทั่งการไล่ล่าถึงต่างประเทศ ก็มีพี่หรั่งเครา ‘โคตร macho’ อ้างว่าเดินทางเข้าออกยุโรปได้โดยไม่ต้องมีวีซ่า เพราะเป็นลูกครึ่งอิตาเลี่ยน เสนอตัวจะไปจัดการพวกโดนคดี ๑๑๒ เอง ถ้ามีใครออกค่าตั๋วเรือบินให้

ยังไม่รู้ลงเอยเป็นการหรอกเอาตั๋วฟรีไปเที่ยวปารีสหรือเปล่า ส่วนรายเหรียญทองที่เดี๋ยวนี้มีคนตั้งชื่อให้ใหม่ว่า เหรียญ (คุณ) ทองแดง ปรับยุทธศาสตร์กิจการเก็บขยะแผ่นดินเล็กน้อย จากนอกประเทศกลับเข้ามาไล่ล่าคนขับแท็กซี่ในกรุงเทพฯ แทน

เช่นเดียวกับนักไล่ล่าสมัครเล่นอีกมากมาย พวกมักง่ายโหนกระแสรักพ่อแบบปากพล่อย สันดานหยาบ เอาเขามาด่าระเริงมือ ทั้งที่ยังไม่รู้สีรู้สา ดังกรณี ‘ผู้กองฟา ณ เชียงใหม่’ กับ ‘เตชะ ทับทอง’






สองรายนี้ได้นำภาพพับนกของ ชลธิชา แจ้งเร็ว แห่งกลุ่มนักศึกษาประชาธิปไตยใหม่ มาโพสต์เทียบเคียงกับภาพสตรีใส่ชุดสีส้มคนหนึ่ง ประกอบข้อความว่า “ช่วยดูกันซิคะ...ตัวเดียวกันหรือเปล่า?”

ไม่เท่านั้น รายเตชะ ทับทอง มีการจาบจ้วงด่าทอ “จัญไรไปป่าวครับ พับนกหาประชาธิปไตย แต่มาแต่งส้มเล่นละครนี่น้องเข้าค่ายหา ‘ประชาธิปตีน’ นะครับ คนเดียวกันไหมน้อ...ปล. ภาพมีคนส่งมาให้ดู ผมเลยถามต่อ”

นี่ไงนิสัยรักพ่อ ยังไม่รู้เลยว่าใช่-ไม่ใช่ ด่าเขาสาดเสียไปแล้ว

เจ้าตัวผู้เสียหายก็เลยต้องไปแจ้งความ “ลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจภูธรพุทธมณฑล นครปฐม โดยยืนยันว่าบุคคลเสื้อส้มในภาพนั้นไม่ใช่ตนเองและตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับการกระทำดังกล่าว”

(http://prachatai.org/journal/2016/10/68418)

“รูปภาพและข้อความที่แพร่ออกไปเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความโกรธแค้น เกลียดชัง และพยายามปลุกระดมให้เกิดความรุนแรง รวมทั้งทำลายชื่อเสียงของผู้แจ้ง” เป็นรายงานต่อตำรวจที่ชลธิชาเพิ่มเติม

ท้ายสุดทั้งสองรายโพสต์ข้อความใหม่แก้ไขว่าภาพที่ลงไปไม่ใช่คนเดียวกัน “สาวชุดส้ม และ สาวพับนก เป็นคนละคนกัน” แค่นั้นจบเรื่อง

เหมือนกับกรณีคุณป้าชุดสีฟ้าจิตเภท โดนตบฟรีไปแล้ว ผู้ที่โพสต์คลิปเหตุการณ์บนรถเมล์พร้อมคำบรรยายว่าป้าหมิ่นพ่อหลวงนั้น ออกมายอมรับว่าผิดพลาด






แต่หญิงชุดดำที่ปรี่เข้าไปตบจนป้าหน้าหงายคนนั้น ยังหายหัวไม่เห็นร่องรอย

ไม่ว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี นายของพล.อ.ไพบูลย์ จะพูดแล้วว่าไม่ให้ประชาชนตั้งศาลเตี้ยแสดงความรักพ่อด้วยการทำร้ายกัน มันเป็นเพียงแก้ปัญหาด้วยลมปาก หลังจากที่ ‘damages have been done’

เป็นส่วนหนึ่งของความไร้สมรรถภาพในการจัดการสถานการณ์สวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เปิดช่องว่างของสภาพไร้ขื่อแป ที่จะกระทบไปยังรัชกาลใหม่ ไม่มากก็น้อย