ท่ามกลางบรรยากาศซึมเซาจากข่าวราชสำนักที่เริ่มคลี่คลาย ก็ให้มีเหตุติดปลายนวมอยู่บ้าง
เมื่อข่าวลือจากยุโรปเรื่องสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงเครื่องบินโบอิ้ง ๗๔๗-๔๔๘ ส่วนพระองค์ เสด็จออกจากสนามบินมูนิคอย่างกระทันหัน เมื่อเวลา หนึ่งทุ่ม ๒๒ นาฑี (เวลาท้องที่ UTC) หรือตีสอง ๒๒ นาฑี (เวลากรุงเทพฯ เช้าวันที่ ๙ ตุลา) นั้นมิใช่การเสด็จกลับประเทศไทย
เนื่องจากเครื่องบินส่วนพระองค์ลำนั้นกลับไปร่อนลงที่สนามบินมูนิคเมื่อเวลาสองทุ่ม ๓๗ นาฑี (ตีสามครึ่งกว่าๆ) หรือราวอีก ๑ ชั่วโมง ๑๔ นาฑีหลังจากขึ้นบิน
ซึ่งบังเอิญตรงกับเวลาในแถลงการณ์คณะแพทย์ฯ ฉบับที่ ๓๗ ว่าหลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีชีพจรเร็วและความดันต่ำเมื่อตีสาม คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาแก้ไข ทำให้พระชีพจรลดลงและความดันพระโลหิตดีขึ้น
จากรายงานการบินของ flightradar24.com ที่ Andrew MacGregor Marshall ค้นคว้ามาได้ ทราบว่าหลังจากเครื่องบินของสมเด็จพระบรมฯ ขึ้นจากมูนิคมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ได้ประมาณเกือบ ๔๐ นาฑี (ราวตีสามเวลาไทย) ก็วกกลับตรงบริเวณน่านฟ้าเมืองกร๊าซของออสเตรีย
คงต้องขอบคุณ Somsak Jeamteerasakul ที่นำรายละเอียดมาเผยแพร่ ทำให้สรุปได้ว่า “ในหลวงคงยังไม่ได้เป็นอะไร”
ใครที่เตรียมตัวเตรียมใจกันไปร่วมสวดมนต์ถวายอายุของตนเป็นพระราชกุศลคนละ ๕ ปี ก็ยังไปประกอบกรรมดีอันนี้กันต่อไปเป็นทุนสำรองไว้ได้
(เลยทำให้นึกถึงป๋าเปรมของเรา เป็นบุคคลที่เหมาะสมอย่างยิ่งเพื่อการนี้ เพราะท่านมีอายุไว้ให้ถวายเป็นพระราชกุศลได้มากกว่าใคร ตั้ง ๙๖ แล้วปีนี้)
อย่างไรก็ดีก็เกิดมีกรณีจดหมายสั่งงานกึ่งสั่งลาของ จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา
แจ้งว่าไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ในขณะนี้ จึงมอบหมายอำนาจเซ็นหนังสือให้แก่รองผู้อำนวยการ
“...จนกว่าข้าพเจ้าจะกลับมาปฏิบัติงานตามเดิม”
(ซึ่งอันนี้ สศจ.ตีความว่า “นี่เป็นการยืนยันว่า คุณจิรายุไม่ได้ ‘เต็มใจไป’ คือไม่ได้คิดจะเลิกเป็นผู้อำนวยการฯ”)
ขณะเดียวกัน คณะบุคคลที่เรียกตัวเองว่า คสช. โดยนัยยะที่เป็น ‘the defender of the throne’ แต่ทำไปทำมาเห็นท่าจะเป็น ‘the clown’ ทำให้ขายหน้าเสียละมากกว่า
หลังจากเพิ่งได้รับร่างรัฐธรรมนูญ (ที่นัยว่าเป็น) ฉบับสมบูรณ์แล้ว นำมามอบให้ด้วยมือโดยคณะเนติบริกรผู้ร่าง เตรียมจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายต่อพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงลงพระปรมาภิไธย หากแต่
ในแถลงการณ์คณะแพทย์ฯ ล่าสุดลงท้ายว่า ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติ “ให้งดพระราชกิจ” จึงดูเหมือน คสช.จะติดกึกตรงนี้นิดหน่อย
ท่ามกลางการพยายามห้ามเลือดรอยแผลมีดหล่นใส่ตีนตัวเอง ‘the farce must goes on’ ละครตอแหลต้องดำเนินต่อไป ตบตาชาวโลกไม่ได้แต่หลอกชาวไทยได้ว่า ทหารเล่นการเมืองดีกว่านักการเมืองเลวๆ
คสช. วางแผนป้องกันดี น้ำยังไม่ท่วม ปีนี้ไม่เหมือนปี ๕๔ แต่ไอ้ที่ล้นรีบระบายทั้งจากป่าสักชลสิทธิ์และบางขุนเทียน จนวัดวาอารามเห็นพญานาคผุดนั่น ‘ชั่งหัวมัน’ ขอให้ฟุตปาตทางเท้าโล่งเตียนไร้แผงลอยเป็นใช้ได้
นี่ก็กำลังจะคืนดีกับซาอุฯ สงสัยเรื่องหินใสสตาร์แซฟไฟร์ก้อนใหญ่ล่องหน แถมคนของเขามาตามหากลับต้องตายปริศนา คงลืมหมดแล้วมัง
ก็ยังมีเหตุติดปลายนวมเช่นกัน (ก้อนค่อนข้างใหญ่) เมื่อพี่ชายคนโตของคณะ ‘troika’ ไทยไปฮาวายแล้วกลับมาเจอลมเพชรหึงเรื่องส่วนตั๊ว ส่วนตัว
ถึงจะยืนเกาะโพเดี้ยมยันว่า “เรื่องผู้หญิงใช่หรือไม่ โธ๋เอ้ย ดีนะที่ผมไม่ยุ่งกับผู้ชาย มันแปลกอะไร ก็ผมเป็นโสด จะยุ่งกับใครก็ได้ ถ้าผมยุ่งกับผู้ชายก็ว่าไปอย่าง” (จากโคว้ตใน ‘คมชัดลึก’)
แต่ปัญหามันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวน่ะสิ ที่จริงแล้วมันก็ส่วนร๊วม ส่วนรวม ลองไปดูที่ ‘ทีมการเมือง’ ของไทยรัฐเขาเอ่ยถึงสักนิด จะรู้
(http://www.thairath.co.th/content/747211)
ครั้งหนึ่งมีพี่นักอ่านชนิดขึ้นคานสอนว่า “ไอ้น้อง จะดูทิศทางการเมือง ต้องดูบทวิจารณ์ไทยรัฐ” จะแม่ลูกจันทร์ หมัดเหล็ก ลมเปลี่ยนทิศ หรือทีมการเมือง ฉบับนี้เขามีสารพัดแม่น้ำทั้งเก้าสาย ตอนไหนขาขึ้นตอนไหนขาลง ให้ดูว่าเขา ‘อวย’ หรือเขา ‘อัด’
ไม่รู้ละ คราวนี้เขาว่า “รอบข้างผู้นำสอบตกจริยธรรม” อันเป็นเรื่องของการ “สะดุดศรัทธา จุดเสี่ยงขาลง” ดังเช่น
“ขณะที่รายชื่อของผู้โดยสารบางคนที่ตกเป็นเป้าวิพากษ์ วิจารณ์ไม่ได้เดินทางไปด้วยแต่อย่างใด
พร้อมทั้งมีการแจ้งความกับเพจดังในโซเชียลฯฐานนำข้อมูลเท็จ บัญชีชื่อผู้โดยสารปลอมออกมานำเสนอทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะการบินไทยเกิดความเสียหาย เบรกกระแสกันด้วยมาตรการทางกฎหมาย
แต่ก็อย่างที่เห็นกระแสไหลลามจากประเด็นทริปฮาวาย เป้าโฟกัสไปที่ผู้โดยสารคนสำคัญที่เป็นพิธีกรสาวคนดัง มีการสาวลึกไปถึงการตั้งบริษัทรับงานจากหน่วยราชการ
โดยการใช้ความใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ในรัฐบาลโกยงบประมาณหลวงไปหลายสิบล้านบาท ตามรูปการณ์เข้าเงื่อน ‘ผลประโยชน์ทับซ้อน’”
นั่นละ คือส่วนที่มันไม่ใช่ ‘ส่วนตัว’ และก็ไอ้บัญชีผู้โดยสารปลอมก็ไม่สลักสำคัญเท่าต้องใช้เงินหลวงเกือบ ๒๑ ล้าน ค่าอาหารตั้ง ๖ แสน แถมให้สายการบินผู้ได้ประโยชน์ออกมาแถลง ‘นั่นราคาประเมิน ราคาจริงอาจน้อยกว่า’
แต่ว่าราคาจริงเท่าไหร่ (การบินไทยต้นทาง) ยังไม่รู้ ต้องรอถามที่ฮาวาย (ปลายทาง) อีกที ฟังสิพี่จำปีเขาช่วยแถก