ขณะที่คดีความการเมืองยังตามติดกลุ้มรุมอยู่ตามองค์กรอิสระสองสามแห่ง แม้นว่าคดีที่นายคงเดชา ชัยรัตน์ ยื่นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง เอื้อประโยชน์แก่ทักษิณ ไม่ต้องนอนคุกแม้แต่คืนเดียว ด้วยการส่งตัวไปนอนเตียง รพ.ตำรวจ
คดีนั้นกล่าวหา รมว.ยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ รู้เห็นเป็นใจ “ทำให้บุคคลไม่เสมอกันในกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๗ เป็นการกระทำที่เป็นการล้มล้างอำนาจอธิปไตยฝ่ายตุลาการ”
รวมทั้ง “เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง...อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา ๔๙ วรรค ๑” เป็นการยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย อัยการไม่รับฟ้องจึงยื่นตรงต่อศาล รธน. ศาลฯ ก็ไม่รับฟ้องเสียอีก
ศาล รธน.เห็นว่า “คำร้อง และเอกสารประกอบคำร้องเป็นเพียงการกล่าวอ้าง...ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจนเพียงพอและยังห่างไกลเกินกว่าเหตุ...ไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตามรัฐธรรมนูญ
จึงมีมติเป็นเอกฉันมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา” แต่กระนั้นยังมีคดีอยู่ที่คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) โดยนักร้อง สนธิญา สวัสดี เป็นผู้ฟ้อง กล่าวหาว่ารู้เห็นเป็นใจให้ทักษิณไปปราศรัย งานประชุมสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่หัวหิน เมื่ ๑๓-๑๔ ธันวา
อิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.ให้สัมภาษณ์ว่า “ไม่มีอำนาจสั่งทักษิณไปให้การ” เรื่องร่วมสัมมนาบนเวทีหาเสียงที่หัวหินครั้งนั้นได้ อ้างว่าแต่ กกต.ก็มีเจ้าหน้าที่เข้าไปร่วมงานเพื่อสังเกตุการณ์ “ตามขั้นตอน ต้องส่งรายละเอียดให้ กกต. ทราบอยู่แล้ว”
รูปการณ์อย่างนี้ ทำให้หนทางคืนสู่อำนาจการเมืองของทักษิณดูจะโปร่งโล่งเข้าไปอีก เหตุแย่งงานลูกสาวทำก็คงจะเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ แต่ข้อที่ รังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคประชาชนบอกว่า จะยิ่งทำให้ความเสื่อมศรัทธาต่อทักษิณและรัฐบาลแพทองธารมากขึ้นด้วย
กระแสป่วนที่เครือข่ายกลุ่มต้านทักษิณเดิม พธม. กปปส. รวมทั้งกลุ่มของ จตุพร พรหมพันธุ์ กำลังโหมอยู่ขณะนี้นั้น จะได้ผลเหมือนครั้งก่อนไหม หลายคนว่ายาก หากแต่ก็ยังเป็นแรงกระเพื่อมที่ต้องจับตาดูกัน ว่าประวัติศาตร์จะซ้ำรอยไหม
(https://www.thaipost.net/hi-light/709904/, https://www.matichon.co.th/politics/news_4959578 และ https://www.matichon.co.th/politics/news_4959421)
