ในวันที่ 26 ธ.ค. 2547 หรือเมื่อ 20 ปีแล้ว ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ขนาด 9.1 ที่บริเวณนอกชายฝั่งทะเลของเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย เป็นเหตุให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิขึ้นในมหาสมุทรอินเดีย และซัดทำลายพื้นที่รอบ ๆ ชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย และหนึ่งในนั้นคือ ชายฝั่งทะเลอันดามันในภาคใต้ของไทย
พิบัติภัยครั้งนั้นได้คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 228,000 ราย ในจำนวนนั้นเป็นคนไทยที่ทั้งเสียชีวิตและสูญหายราว 8,800 ราย ในหลายจังหวัดริมชายฝั่งทะเลอันดามัน เช่น ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล
ผ่านมาแล้วสองทศวรรษ เหตุการณ์ครั้งนั้นสำหรับหลายคนยังไม่เคยลืมเลือน และได้กลายเป็นบทเรียนที่สำคัญในการเตรียมรับมือและการวางระบบเตือนภัยล่วงหน้าในประเทศไทยด้วย
บีบีซีไทยรวบรวมภาพเหตุการณ์สำคัญที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อนว่า เหตุการณ์พิบัติภัยครั้งร้ายแรงครั้งนั้นเกิดขึ้นอย่างไร
อ่านต่อ
https://www.bbc.com/thai/articles/c4gz7g8qp1lo
ภาพถ่ายทางอากาศเหนือเมืองเมอลาโบห์ บนเกาะสุมาตราของอินโดนีเซียที่บันทึกเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2547 แสดงให้เห็นว่า เมืองแห่งนี้ยังจมอยู่ใต้น้ำ แม้ว่าจะผ่านไปแล้วสองวันหลังเหตุคลื่นยักษ์สึนามิถล่มในพื้นที่
นี่คือสภาพถูกบันทึกภาพไว้หลังจากคลื่นยักษ์สึนามิพัดถล่มพื้นที่ จ.บันดาอาเจะห์ ของอินโดนีเซีย ไปแล้ว 7 วัน มัสยิดยังคงรายล้อมไปด้วยเศษซากปรักหักพังของบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างที่ถูกทำลายจากคลื่นยักษ์
นักท่องเที่ยวต่างชาติออกไปยืนบนผืนทรายที่ไกลออกจากชายหาดหลังจากน้ำลดลง ก่อนที่จะเกิดสึนามิลูกแรกจากทั้งหมด 6 ลูก บริเวณหาดไร่เลย์ใน จ.กระบี่ ทางภาคใต้ของไทย (ถ่ายภาพเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547)
ภาพนี้บันทึกไว้ในช่วงที่ประชาชนพากันหนีตายจากคลื่นยักษ์สึนามิที่กำลังซัดเข้าชายฝั่งเกาะราชา ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 ภาพนี้ถ่ายโดยช่างภาพรายหนึ่งที่สามารถหนีได้ทันโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ
สภาพความเสียหายบนหาดป่าตองใน จ.ภูเก็ต หนึ่งวันหลังเหตุพิบัติภัยสึนามิ (ภาพถายวันที่ 27 ธ.ค. 2547)
ในเวลาต่อมา หน่วยงานด้านการบรรเทาสาธารณภัยและมูลนิธิต่าง ๆ ร่วมกันจัดเตรียมโลงบรรจุร่างผู้เสียชีวิตจำนวนมากไว้ในโกดังแห่งหนึ่ง
ดูภาพและเรื่องต่อที่
https://www.bbc.com/thai/articles/c4gz7g8qp1lo
ในเวลาต่อมา หน่วยงานด้านการบรรเทาสาธารณภัยและมูลนิธิต่าง ๆ ร่วมกันจัดเตรียมโลงบรรจุร่างผู้เสียชีวิตจำนวนมากไว้ในโกดังแห่งหนึ่ง
ดูภาพและเรื่องต่อที่
https://www.bbc.com/thai/articles/c4gz7g8qp1lo