วันอาทิตย์, ธันวาคม 29, 2567

อ่านแล้วเศร้ามาก #20ปีสึนามิ


มนุษย์กรุงเทพฯ
15 hours ago
·
“วันที่เกิดเหตุการณ์สึนามิ แฟนของผมท้องได้ 4 เดือน เขาทำงานอยู่รีสอร์ทติดชายทะเลที่หาดบางเนียง (อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา) ส่วนผมมาเตรียมทำห้องหออยู่ที่บ้าน ปกติผมเป็นคนตื่นสายหน่อย แต่เช้าวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ผมตื่นขึ้นมาเพราะได้กลิ่นหมูคั่วเกลือของแม่ หลังจากตื่นได้ไม่นาน ผมได้ยินเสียง ตูม! เหมือนเสียงระเบิดดังอยู่ไกลๆ ในใจคิดว่าเกิดอะไรขึ้นวะ สักพักมีญาติที่ภูเก็ตโทรมาบอกให้พาคนแก่ขึ้นที่สูง ที่นั่นโดนคลื่นยักษ์จนน้ำท่วมหมดแล้ว แต่เรายังคิดอยู่เลยว่า คลื่นยักษ์อะไรกัน แดดออกแบบนี้

“แม่ทำกับข้าวเสร็จก็ขับมอเตอร์ไซค์ออกไปวัด ผมใช้เลื่อยวงเดือนตัดไม้เพื่อทำห้องหอต่อ โดยเปิดทีวีฟังข่าวไปด้วย ผ่านไปสักพักที่บ้านไฟดับ หลังจากนั้นไม่กี่นาที มีเสียงดัง บึบ.. บึบ.. บึบ.. เข้าใจว่าเป็นเสียงคลื่นที่พัดเข้าชายฝั่ง ตอนนั้นแม่ขับมอเตอร์ไซค์กลับมารับพ่อและน้อง ผมตัดสินใจว่าไม่ไป คิดว่าตัวเองอยู่ชั้นสองคงเอาอยู่ แต่พอมองออกไปเห็นเรือตังเกลอยอยู่ไกลๆ หลังคาบ้านกับหลังคาเรือสูงเท่ากันเลย เห็นน้ำมาท้ายซอย เห็นน้ำมาทางหลังบ้าน ผมเลยรีบโดดจากชั้นสองลงแล้ววิ่งตามแม่ไป

“ผมเห็นเศษต่างๆ ลอยมากับน้ำ เห็นน้ำไล่หลังมาจากทุกทาง เห็นคนที่วิ่งช้าหกล้มแล้วโดนน้ำม้วนกลิ้งไป ตอนนั้นผมกลัวมาก แล้ววิ่งเร็วขึ้นอีก ระหว่างทางเจอเด็กก็รีบช่วย วิ่งออกมาสักระยะ ผมเห็นรถจอดรอคน แล้วได้ยินคนพูดว่า ‘ไปๆๆ ไม่ต้องรอใครแล้ว’ ทุกคนต่างหนีตายกัน วิ่งบ้าง ขึ้นรถบ้าง ผมวิ่งไปถึงวัดน้ำเค็มที่เป็นจุดสูงที่สุด ไม่รู้ว่าตรงนั้นปลอดภัยไหม แต่พอมีพระอยู่แล้วอุ่นใจ เห็นบางคนปีนขึ้นไปหลบบนต้นไม้ด้วย สักพักมีคลื่นลูกที่สองมา ผมได้ยินเสียง บึบ.. บึบ.. บึบ.. น้ำมาจากทุกทางเลย

“ตอนนั้นผมนึกขึ้นได้ว่า ฉิบหายแล้ว แฟนยังอยู่ที่บางเนียงนี่หว่า เลยตั้งใจจะไปหาเขาที่รีสอร์ท แต่แม่ขอให้ช่วยกลับไปดูบ้านก่อน ผมเลยกลับไปเอาของมีค่าจากที่บ้าน เห็นบางคนเป็นศพแล้ว และได้ช่วยเหลือคนที่ยังไม่ตายออกมา ตอนนั้นในใจคิดว่าแฟนต้องรอด คืนนั้นผมนอนอยู่บ้านญาติ นอนไม่ได้ใส่เสื้อ อากาศหนาวมาก ผมรู้สึกว่าแฟนมานอนกอด แล้วรุ่งสางก็บอกลาว่า ‘อยู่ต่อให้ได้นะ…’ ผมเด้งตัวลุกขึ้นมา ภาพในฝันเหมือนจริงมาก ใจนึงผมคิดว่าเขาคงตายแล้ว อีกใจคิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบอกให้ไปช่วย

“ผมไปที่รีสอร์ทในวันรุ่งขึ้น เห็นที่นั่นโดนคลื่นซัดจนพังถึงชั้นสอง ผมหวังจะได้เจออะไรสักอย่าง แต่ไม่เจออะไร ต้นเดือนมกราคม 2548 ผมได้เจอญาติของแฟนที่ทำงานรีสอร์ทนั้น เขาเล่าว่าทางรีสอร์ทได้รับคำเตือนมาเหมือนกัน แต่แขกหลายคนเห็นน้ำลดแล้วเดินลงไปในทะเลอีก แฟนของผมเลยเดินลงไปเรียก จนกระทั่งคลื่นซัดเข้ามา ผมเดินหาศพอยู่ 4 วัน เจอศพบวมอืด หน้าเละ หัวขาด แขนขาด ดูซ้ำๆๆๆ เป็นพันศพ ได้ยินเสียงคนร้องไห้เพราะเจอคนในครอบครัว จนรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว

“ช่วงนั้นผมขับรถมาที่หมู่บ้านทุกคืน อยากเข้ามาสังเกตการณ์คลื่น ได้ยินเสียงหมาเห่าหมาหอน ผมมากับเพื่อนที่สูญเสียทั้งพ่อ แม่ เมีย ลูก และแม่ยาย เรานอนกันที่ชายหาด อยู่ตรงนั้นเพราะอยากได้คำตอบว่าคนที่เรากำลังตามหาอยู่ที่ไหน ทำแบบนั้นอยู่สักครึ่งเดือนก็ไม่ได้คำตอบ ผมไปที่สุสานสึนามิ จุดธุปไหว้ แต่ก็ไม่ได้คำตอบเหมือนกัน

“ช่วงนั้นมีคนเข้ามาในพื้นที่เยอะ มีอะไรให้ทำตลอด พอมีพรรคพวกก็สบายใจขึ้น วันนั้นที่กลับมาบ้าน ผมเอากีตาร์ติดมาด้วย ช่วงที่อยู่ศูนย์อพยพ ผมกับเพื่อนได้เล่นดนตรีด้วยกัน เคยมีนักข่าวถามว่า ‘คนอื่นเศร้ากัน คุณไม่เศร้าเหรอ’ ผมตอบไปว่า ‘เศร้าสิ แต่ไม่รู้จะร้องไห้ไปทำไม’ ผมร้องไห้ทุกคืนแหละ แต่ตอนกลางวันที่อยู่ด้วยกัน ใจของผมอยู่ตรงนั้น

“ช่วงนั้นผมได้ทำผ้าบาติก วาดภาพผู้หญิงสีเหลืองทอง ท้องแตกเป็นหัวใจ มีภาพสึนามิ มีภาพพระจันท์ในมุมมืด พอวันวาเลนไทน์ ผมวาดเป็นรูปสี่เหลี่ยมแล้วมีหลายๆ เส้น อาจารย์จำนงค์ (จำนงค์ จิตรนิรัตน์) เข้าถามว่า ‘ทำไมถึงวาดแบบนี้’ ผมตอบว่า ‘ผมไม่น่าหลุดจากกรอบความรักความผูกพันได้’ เขาเลยให้คนอื่นมาร่วมวาด มีคนวาด I love you วาดนู่นนี่นั่น ตอนแรกผมโกรธ แต่พอทำเป็นผ้าบาติกแล้วออกมาดี

“เย็นวันนั้นพวกเราไปซื้อกุหลาบกัน ความรู้สึกในตอนนั้นคือ ผมพร้อมมอบกุหลาบให้ใครก็ได้ ความเศร้าของผมโดนกลบด้วยความรัก ความผูกพัน และมิตรภาพจากผู้คนรอบตัว ..นับจากวันที่เกิดเหตุการณ์สึนามิอีกสัก 2 ปี เจ้าหน้าที่ถึงแจ้งว่าเจอศพที่ดีเอ็นเอตรงกับพี่ชายของแฟนแล้ว วันที่ผมไปดูศพ จำแทบไม่ได้เลย เป็นซากที่เหี่ยวแข็งอยู่ในห้องเย็น ความรู้สึกในตอนนั้นคือ ผมดีใจและโล่งใจ พอเผาศพแล้วก็เอากระดูกมาลอยอังคาร

“เวลาพูดถึงความสูญเสียและความโศกเศร้า ผมมองว่าความรู้สึกนี้จะลดลงเรื่อยๆ เปลี่ยนเป็นความทรงจำที่มีต่อกัน เหตุการณ์นั้นผ่านมาแล้ว 20 ปี ปัจจุบันผมมีครอบครัวใหม่แล้ว มีภรรยา มีลูก ขณะเดียวกัน สิ่งที่เราต้องไม่ลืมคือ ความจริงของภัยพิบัติ ตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าสึนามิจะทำลายผู้คนถึงขนาดนี้ ถ้าตอนนี้รู้แล้ว คำถามคือเราจะอยู่กับมันยังไง

“คนบ้านน้ำเค็มเก็บข้อมูลพื้นที่และวางแผนควรหนีเส้นทางไหน เราซ้อมวิ่งหนีมาหลายต่อหลายครั้ง บางคนมีลางบอกเหตุที่ได้รับการสอนโดยชาวเล ทุ่นสึนามิก็ไปอยู่จนถึงชายขอบ ถ้ามีการเตือนขึ้นมา ทุกคนจัดข้าวของเครื่องใช้จำเป็นและของมีค่า เรารู้ว่าคนพิการคนติดเตียงอยู่ไหน ต้องเคลื่อนย้ายยังไง ไปทางไหน ใครจะเป็นคนบัญชากัน เรารู้ว่าต้องหนีไปที่สูง หนีไปหอหลบภัย ถ้าไม่ทัน บ้านหลังไหนที่สูงก็ไป ไม่ใช่ต่างคนต่างปิดบ้านแล้ว แต่เปิดให้โล่งที่สุด เพื่อให้น้ำผ่านไปได้

“ภัยพิบัติคงเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่ง เราต้องเตรียมการว่าจะทำยังไง บ้านน้ำเค็มเป็นจุดซ้อมหนีภัยสึนามิที่เป็นรูปธรรมที่สุดในภาคใต้แล้ว เราอยากให้สิ่งนี้ขยายไปสู่พื้นที่อื่นด้วย ในประเทศไทยมีจุดเสี่ยงเยอะ แต่คนทำเรื่องนี้กันน้อย มีแต่คนที่เจอภัยพิบัติซ้ำซากที่ให้ความสำคัญ การเตรียมพร้อมเป็นเรื่องจำเป็น ทั้งการรับมือภัยพิบัติ และการจัดการหลังจากนั้นด้วย คุณจะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง ได้อยู่ในที่ดินเดิมไหม สร้างบ้านขึ้นมาใหม่ได้ไหม เป็นสิ่งที่ทุกคนในพื้นที่เสี่ยงควรรู้ไว้”

.

วิทวัส เทพสง

#20ปีสึนามิ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1125420422287075&set=a.649473419881780