วันอังคาร, ธันวาคม 31, 2567

ชีวิตที่งดงามของ Jimmy Carter


Pipob Udomittipong
18 hours ago
·
นอกจากจะอายุยืนมากสุด จิมมี คาร์เตอร์ (1924-2024) ยังแปลกกว่าเพื่อนปธน.ด้วยกัน เพราะเป็นปธน.ที่ไม่ปอปปิวลาร์เลยระหว่างดำรงตำแหน่ง ความดีงามเขาเกิดขึ้นช่วง 40 ปีหลังเป็น “lame duck president” แพ้เลือกตั้งสมัยที่สอง ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจาก Stagflation ภาวะเงินเฟ้อสูงตลอดระหว่างดำรงตำแหน่ง และอิหร่านแกล้งเขา ด้วยการไม่ปล่อยตัวประกันอเมริกันช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง แต่ปล่อยหลังจากเขาแพ้เลือกตั้ง
คนจดจำเขาได้จากการเป็นครูสอนศาสนาใน Sunday School ตลอดเวลา 40 ปี จากการร่วมมือกับภรรยาเป็นอาสาสมัครให้กับ Habitat for Humanity เพื่อสร้างบ้านให้คนยากไร้ จากการก่อตั้ง The Carter Center ซึ่งทำงานด้านมนุษยธรรมหลายอย่าง ที่โดดเด่นคือการแก้ไขความขัดแย้ง การสังเกตการณ์การเลือกตั้ง และการส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน
ผลงาน 40+ ปีของเขาเกิดขึ้นหลังเขาลงจากตำแหน่งทั้งหมด รวมทั้งการได้รางวัลโนเบลสันติภาพปี 2002 ตอนลงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี หลังยุคนิกสันที่อื้อฉาว แม้จะเป็นผู้ว่าการรัฐ แต่คาร์เตอร์ไม่มีทั้งเงินและเส้นสาย เขาไม่ได้ใกล้ชิดกับแกนนำของพรรคเดโมแครต ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ establishment ของพรรค เป็นแค่ผู้ว่าการจากรัฐเล็ก ๆ ลูกหลานเกษตรกรจากชนบท มีแต่ Joe Biden สว.หนุ่มที่ endorsed เขา ทั้งคู่สนิทสนมกันมาก
เขาเสนอตัวต่อปชช. สร้างภาพว่าเป็นคนซื่อ ตรงไปตรงมา ใช้ภาษาแบบบ้าน ๆ ในการแนะนำตัวเอง "I'm Jimmy Carter and I'm running for president.” และคำขวัญในการหาเสียงของเขาคือ "I'll Never Lie to You" ตอกย้ำภาพที่ขัดแย้งจากการเมือง toxic ในยุคก่อนนั้นมาก
คาร์เตอร์ชนะใจศิลปินเพลงคันทรีร็อคของภาคใต้ที่จัดคอนเสิร์ตระดมทุนให้เขา เป็นกระบอกเสียงร่วมกับดีเจตามสถานีวิทยุ ช่วยกันหาเสียงให้เขา จนเขาชนะเลือกตั้งอย่างเหลือเชื่อในปี 1976 เขามีความสนิทสนมกับ Bob Dylan ในยุคนั้น รวมทั้ง The Allman Brothers และ Willie Nelson ในเวลาต่อมา จนได้รับฉายา The Rock & Roll President
คาร์เตอร์อยู่ข้างคนยากไร้มาตลอด คนดำโหวตให้เขาเป็นกอบแป็นกำ ตั้งแต่เลือกตั้งสมัยแรกที่ยังเป็น underdog จนแม้เลือกตั้งสมัยที่สอง ตอนที่คนขาวทิ้งคาร์เตอร์ไปเลือกเรแกน คนดำก็ยังคงโหวตให้เขาเหนียวแน่นมาก
เขาสนับสนุนแนวคิด Two States เขียนบทความลง New York Times “America Must Recognize Palestine” เมื่อปี 2016 เรียกร้องให้อเมริการับรองสถานะรัฐปาเลสไตน์ และน่าจะเป็นผู้นำระดับสูงคนแรก ๆ ที่บอกว่าการยึดครองของอิสราเอลที่กระทำต่อชาวปาเลสไตน์มีลักษณะเป็น “apartheid” การกดขี่อย่างเป็นระบบ
ทั้งจิมมี คาร์เตอร์และภรรยา Rosalynn ที่ทำงานเคียงข้างเขาตลอด ใช้ชีวิตเรียบง่ายมากจนเหลือเชื่อ แม้จะมีสวัสดิการตลอดชีวิตในฐานะอดีตปธน. สามารถเบิกเงินเพื่อพักอาศัยในบ้านที่โอ่โถงได้ ได้รับความคุ้มกันอย่างดีจาก Secret Service แต่ทั้งคู่เลือกใช้ชีวิตที่เรียบง่าย อาศัยในบ้านหลังเล็ก ๆ
ตอนที่คาร์เตอร์กับภรรยาตัดสินใจเข้า hospice เพื่อใช้ชีวิตก่อนตายอย่างเงียบสงบ เขาไม่มีโรคอะไรเลย ก่อนหน้านั้นเคยเป็นมะเร็งสมอง แต่ก็รักษาจนหายแล้ว เหตุที่เขาตัดสินใจเข้า hospice เพราะต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่สิ้นเปลืองงบประมาณรักษาพยาบาล ซึ่งเขาเบิกได้แน่นอนในฐานะอดีตปธน. น่าเสียดายที่คู่ชีวิตที่แต่งงานกันมา 77 ปี เสียชีวิตลงแค่ 2 วันหลังเข้าสู่บริการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายด้วยวัย 96 ปี
หลังมรณกรรมของเขา ชาวบ้านร่วมกันไว้อาลัยให้เขาด้วยการวางขวดเนยถั่ว ลูกพีช และถั่วลิสงด้านนอกของ Carter Center ที่แอตแลนตา จอร์เจีย เพื่อไว้อาลัยให้กับลูกเกษตรกรปลูกถั่วลิสงจากเมืองชนบทเล็ก ๆ ในรัฐจอร์เจีย ที่เพิ่งมีอายุครบรอบ 100 ปีเมื่อสองเดือนก่อน

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10162077893186649&set=a.10150096728651649