อันเนื่องมาแต่การที่ รมว.คลังทั่นออกมาโยนหินถามทางไปสู่การหารายได้เพิ่มให้แก่รัฐ ด้วยการปรับเพิ่มจัดเก็บภาษีจากไพร่ฟ้าหน้าใสให้ถ้วนทั่ว และแบบ across the board ตลอดแนว ยากดีมีจนโดนอัตราเท่ากันหมด ที่ ๑๕%
ใช่ครับ ที่เขาเรียกว่า “ปรับโครงสร้างภาษีใหม่ทั้งระบบ” นั่นละ นิติบุคคล ๑๕% เงินได้บุคคลธรรมดา ๑๕% มูลค่าเพิ่ม ก็ ๑๕% มันจึงเป็นที่ร้องยี้กันมากหน้า เรื่องจึงไปถึงคุณครูไหมและ ผอ.สรยุทธ์ เอาไปถกกันหน้ามุ่ย
“ในประวัติศาสตร์มีการเสนอปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น ๑๐% มาแล้วยาวนาน แต่ขึ้นถึง ๑๕% ไม่เคยได้ยิน” ครูไหมบ่น “หลายประเทศจะลดการจัดเก็บมูลค่าเพิ่มลง แล้วไปเพิ่มที่ภาษีเงินได้ จริงๆ แล้วมีการศึกษาเรื่องผลกระทบของภาษีมูลค่าเพิ่ม”
ศิริกัญญา ตันสกุล เล่าว่า “คนจนไม่ได้จ่ายมากกว่าเพื่อนอย่างที่คิดกัน เนื่องเพราะเขาจับจ่ายสินค้าของสดที่ไม่มีแว้ทเป็นหลัก เฉลี่ยตามสัดส่วนรายได้แล้วคนจนจ่ายแว้ทแค่ ๒.๒% ขณะที่คนรวยที่สุดจ่ายเพียงประมาณ ๒.๕% ของรายได้”
ชนชั้นกลางนั่นสิต้องเป็น ‘เดอะแบก’ มาตลอด คนที่มีรายได้กลางๆ จะเสียมากกว่า อยู่ที่ประมาณ ๒.๘% เป็นระฆังคว่ำ โดนทั้งภาษีเงินได้และมูลค่าเพิ่ม ครูไหมเธอจึงว่า “ถ้าจะจัดเก็บเพิ่มต้องศึกษาดูให้ดีว่ามันจะไปกระทบการใช้จ่ายของประชาชนอย่างไร
เข้าใจแหละว่ามีความจำเป็นต้องปฏิรูประบบภาษีครั้งใหญ่ เนื่องจากฐานะการคลังของประเทศไม่ดี รายได้จากการจัดเก็บเข้ารัฐก็ยังกะพร่องกะแพร่ง” แย้มมาแบบนี้ “ฟังดูแล้วมันไม่ได้มีความเป็นธรรมเลย ภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ควรถึง ๑๕%”
มีงานการศึกษาเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาเมื่อปี ๒๕๖๔ “อาจจะจัดเก็บใหม่ที่ ๑๐% แล้วค่อยๆ ปรับเพิ่มปีสองปีครั้งละสัก ๑% ยังเป็นไปได้”