วันศุกร์, ธันวาคม 06, 2567

112Watch : คุย ‘ชาญวิทย์’ ปัญหาการใช้ ม.112 กับเยาวชน การนิรโทษฯ จะส่งผลดีต่อสถาบันฯ


5 ธันวาคม 2567
ประชาไท

112WATCH สัมภาษณ์นักประวัติศาสตร์อาวุโส ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ถึงประเด็นการใช้กฎหมายหมิ่นสถาบันกษัตริย์ต่อเยาวชนไทย กับความพยายามแก้ไขปัญหาเรื่องนี้แต่ก็มักถูกขัดขวางและไม่ประสบความสำเร็จมานานหลายปีจนถึงขั้นทำให้มีพรรคการเมืองถูกยุบ อย่างไรก็ตามหากการนิรโทษกรรมทางการเมืองที่กำลังจะมีขึ้นไม่รวมคดีม.112 ด้วยก็ยากที่จะเกิดความปรองดองได้จริง

คุณมีความกังวลอย่างไรเกี่ยวกับการใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อเยาวชนชาวไทย

ผมกังวลต่อเรื่องการดำเนินคดีกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อเยาวชนชาวไทยเป็นอย่างมาก มันคือการใช้กฎหมายในทางที่ผิดและสร้างผลร้ายต่อสถาบันกษัตริย์ ผลของการใช้กฎหมายนี้เป็นอันตรายต่อทั้งชื่อเสียงของประเทศและประชาชนชาวไทย

ตั้งแต่มีการชุมนุมในปี 2563 ผมได้ทราบว่า เยาวชนชาวไทยที่ทำกิจกรรมทางการเมืองได้กลายเป็นเป้าหมายโจมตีของรัฐไทย เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจึงถึงถูกดำเนินคดีและจับกุมภายใต้กฎหมายอาญามาตรา 112 ผมได้รณรงค์ให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 มาอย่างยาวนาน

ผมเคยเป็นส่วนหนึ่งของคณะรณรงค์แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยเราได้ยื่นร่างกฎหมายแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ผ่านกระบวนการรัฐสภา แต่เท่าที่ผมทราบ คำขอของพวกเราถูกปัดตกโดยประธานสภา เมื่อเวลาผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ผมคิดว่าประเด็นเรื่องการใช้กฎหมายมาตรานี้เป็นเรื่องที่เราควรจัดการอย่างจริงจัง มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากที่เราเห็นเยาวชนถูกจับและถูกดำเนินคดีด้วยกฎหมายหมิ่นสถาบันกษัตริย์

รัฐบาลไทยได้ยกประเด็นกฎหมายนิรโทษกรรมขึ้นมาถกเถียงอีกครั้ง คุณคิดเห็นอย่างไรต่อการนิรโทษกรรมให้กับคนที่ถูกดำเนินคดีด้วยกฎหมายอาญามาตรา 112

ควรนิรโทษกรรมรวมคดีมาตรา 112 ไปด้วย และจะเป็นผลดีต่อสถาบันกษัตริย์ในอนาคต พวกเราต้องยอมรับว่าประเด็นกฎหมายหมิ่นกษัตริย์เป็นประเด็นใจกลางปัญหาการเมืองไทยมาอย่างยาวนาน การที่พรรคก้าวไกลถูกกีดกันไม่ให้เข้าสู่อำนาจและในท้ายที่สุดก็ถูกยุบโดยศาลรัฐธรรมนูญก็มาจากประเด็นกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือพูดอีกอย่างหนี่งก็คือ การที่พรรคเสนอแก้ไขกฎหมายนี้ก็เป็นเหตุให้พรรคตกเป็นเป้าของการถูกทำลาย

ดังนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ประเด็นกฎหมายอาญามาตรา 112 ยังคงครอบงำวาทกรรมหลักทางการเมืองไทย ด้วยเหตุผลนี้ มันไม่มีเหตุผลใดที่สังคมจะไม่จัดการประเด็นนี้ นั่นคือเหตุผลที่ผมเชื่อว่าการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมจำเป็นต้องรวมคนที่ถูกดำเนินคดีด้วยกฎหมายอาญามาตรา 112 หากปราศจากกระบวนการนี้ การปรองดองทางการเมืองในประเทศไทยจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริง

ผมเชื่อว่ากระบวนการนิรโทษกรรมเป็นสิ่งที่จำเป็น มันทั้งสงบและมีอารยะ มันคือกระบวนการที่ทำให้คนหลายภาคส่วนในสังคมเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ผู้คนจะไม่รู้สึกราวกับว่าพวกเขาถูกเบียดขับออกจากกระบวนการทางการเมือง สิ่งนี้จะพิสูจน์ว่ารัฐบาลปัจจุบันที่นำโดยพรรคเพื่อไทยจริงจังกับการจัดการหาทางออกให้กับวิกฤตของกฎหมายอาญามาตรา 112

ผมสนับสนุนให้พวกเขาคิดเรื่องกระบวนการนิรโทษกรรมอย่างจริงจังเพื่อให้การนิรโทษกรรมครอบคลุมและมีความหมาย ที่สำคัญไปกว่านั้น ฝ่ายอนุรักษ์นิยมควรฟังคนรุ่นใหม่มากกว่านี้ และควรกล้าหาญพอที่จะคิดถึงอนาคต เพราะพวกเขาอยู่แค่อดีตกับปัจจุบัน

คุณคิดว่าการเคลื่อนไหวของเยาวชนจะกลับมาสู่ท้องถนนอีกครั้งหรือไม่ ถ้าใช่ เงื่อนไขใดที่จะทำให้พวกเขาทำแบบนั้น

ผมคิดว่าการเคลื่อนไหวเยาวชนจะกลับมาอีกครั้งคู่ขนานไปกับการต่อสู้ด้วยบัตรเลือกตั้ง นั่นหมายความว่า พวกเขาจะใช้การผลักดันอยู่การเปลี่ยนแปลงอยู่ 2 ทาง ทางแรกคือการเมืองบนท้องถนนและอีกทางคือการต่อสู้ด้วยช่องทางกระบวนการประชาธิปไตยปกติ

ผมมีความหวังต่อเยาวชนชาวไทย พวกเขาเข้าใจว่ากระบวนการทางประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะว่ามันให้ความชอบธรรมแก่ผู้ถือครองอำนาจ สิ่งนี้อธิบายว่าทำไมการเลือกตั้งในปี 2566 มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่เป็นกำลังสำคัญในการเมืองการเลือกตั้ง แม้ว่าในปัจจุบันผลการเลือกตั้งจะไม่ตรงตามความคาดหวังของพวกเขาจากฝีมือของชนชั้นนำอนุรักษ์นิยม แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสิ้นหวังกับการเลือกตั้ง ถ้าปราศจากการเลือกตั้ง สถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายเลวร้ายกว่าเดิม

ทุกวันนี้ผู้คนพูดกันอย่างกว้างขวางว่า หลังจากการยุบพรรคก้าวไกล ฉากทัศน์การเมืองเรื่องการเลือกตั้งในครั้งหน้าจะเป็นเหมือนครั้งนี้หรือไม่ (การเลือกตั้งอาจจะเกิดขึ้นในปี 2570) นี่หมายความว่าพรรคประชาชนจะไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นรัฐบาล แม้ว่าเรื่องนั้นอาจจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่หลายคนก็ยังรอการเลือกตั้งที่จะมาถึงเพื่อที่จะสนับสนุนพรรคที่พวกเขาต้องการ นี่คือสิ่งที่ผมเรียกว่าสปิริตของประชาธิปไตย

อีกหนทางหนึ่งของการต่อสู้ก็คือการเมืองบนท้องถนน ผมคิดว่ามันก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของหลักการประชาธิปไตย ผู้คนมีสิทธิที่จะรวมตัวกันและประท้วง โดยเฉพาะในบริบทการเมืองไทย

เมื่อกระบวนการทางการเมืองปกติหรือการเมืองในรัฐสภาถูกทำให้หยุดชะงัก การเมืองบนท้องถนนจะสำคัญมากขึ้น เช่น ณ ตอนนี้ เราอาจจะไม่สามารถถกเถียงเรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112 ผ่านกระบวนการรัฐสภา (เพราะว่าศาลรัฐรรมนูญตัดสินว่าการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 อาจจะเป็นการกัดเซาะบ่อนทำลายสถาบันกษัตริย์) ดังนั้น การเมืองบนท้องถนนจะเป็นอีกหนทางหนึ่งในการถกเถียงเรื่องนี้

สังคมไทยส่วนใหญ่มีความเห็นในประเด็นเรื่องแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างไร

ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะตอบคำถามนี้ ผมคาดเดาว่าคงมีความเห็นที่หลากหลายผสมกันไป คนจำนวนมากก็ไม่ได้กังวลต่อเรื่องนี้แต่อย่างใด ทว่า เราต้องไม่ลืมว่าสังคมไทยมีความเห็นที่แตกต่างหลากหลายเป็นอย่างมาก และสิ่งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของการเมืองไทยที่เห็นได้อย่างชัดเจน

ตั้งแต่การรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณ ชินวัตรในปี 2549 ประเทศไทยก็ถูกแบ่งขั้วทางการเมืองด้วยการใช้สัญลักษณ์สีมาเป็นเส้นแบ่ง หรือที่รู้จักกันในนาม “การเมืองเสื้อสี” ประเทศไทยถูกแบ่งออกเป็นสองขั้ว ระหว่างฝ่ายสีเหลืองที่เป็นฝ่ายกษัตริย์นิยม และสีแดงที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตย และเส้นทางทางการเมืองของทั้งสองฝ่ายก็เดินคู่ขนานกันมาตลอดจนกระทั่งทุกวันนี้

แม้ว่าการเมืองเสื้อสีก็ถูกทำให้ลดความรุนแรงลง แต่การแบ่งแยกทางความคิดทางการเมืองก็ยังคงอยู่ หากเราแบ่งการเมืองออกเป็นสองฝ่ายระหว่างกษัตริย์นิยมกับฝ่ายอื่น สิ่งใดจะเป็นเส้นแบ่งทางการเมืองระหว่างสองขั้วนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ผมถึงคิดว่ามันยากที่จะสรุปความเห็นของประชาชนไทยเกี่ยวกับประเด็นเรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112

ขณะที่ผมเห็นว่าเยาวชนชาวไทยจำนวนไม่น้อยมีความกระตือรือร้นในการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ทว่า เราต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยยังคงปกครองโดยชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษนิยม ผมเชื่อว่า ปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายนี้จะคงอยู่ต่อไปอีกสักระยะ เพราะว่าคนที่มีอายุเยอะยังคงมีความอนุรักษนิยมสูง แต่ผมเชื่อว่าเยาวชนยังคงกังวลต่อปัญหานี้และจะยังต่อสู้เพื่อสิ่งที่พวกเขายึดมั่น

คุณมองว่าชุมชนระหว่างประเทศมีบทบาทอย่างไรในการจัดการวิกฤตด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ซึ่งมาจากการใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างล้นเกิน

สำหรับมุมมองจากชุมชนระหว่างประเทศ ผมเชื่อว่าประเทศสหรัฐฯ และพันธมิตรจะวิจารณ์ประเด็นนี้ แต่อาจจะวิจารณ์แบบไม่รุนแรง เรื่องนี้อาจจะมาจากการที่สถาบันกษัตริย์ไทยเป็นพันธมิตรกับประเทศตะวันตกมาอย่างยาวนาน ส่วนจีนและรัสเซียคงจะมองว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับประเทศของเขา ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิเสธที่จะให้ความเห็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เป็นอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาได้รางวัลมากมายตลอดวิชาชีพของเขา หนึ่งในนั้นคือ รางวัล Fukuoka award ซึ่งเขาได้รางวัลนี้ในค.ศ. 2021

https://prachatai.com/journal/2024/12/111586