ปมที่ดิน ‘ไพรม์’ ๑ ไร่ ในซอยหลังสวน ติดสวนลุมฯ หรือย่าน ‘Bangkok Central Park’ ที่บริษัทแสนสิริซื้อมาในขณะ เศรษฐา ทวีสิน ยังเป็นซีอีโอ ที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ นำมาเปิดประเด็นว่ามีการเสียภาษีน้อยกว่าราคาจริงหรือไม่
เรื่องยังไม่ถึงหน่วยงานที่จะต้องวินิจฉัย และดูเหมือนพวก ‘นักร้อง’ ไม่สนใจจะเล่นนั้น มีการวิพากษ์วิจารณ์ทางสาธารณะอย่างถึงแก่น เนื่องจากอาจทำให้แคนดิเดทนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ต้องขาดคุณสมบัติอันควรไปได้
ผู้ที่วิเคราะห์อย่างเป็นคุณแก่สถานการณ์ที่เศรษฐาเผชิญนี้ยิ่งกว่าทนายแก้ต่าง เห็นจะเป็น วีระ ธีรภัทร พิธีกรคนดัง ในรายการ ‘ฟังหูไว้หู’ ทางช่อง ๙ อสมท.ที่บอกว่า “ที่เขาทำมันไม่ผิดน่ะนะ ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีประเด็นอะไรที่จะไปท้าทาย”
ซึ่งที่เขาว่า ‘ไม่ผิด’ เพราะไม่ได้เป็นแม้แต่การ ‘เลี่ยงภาษี’ เขาสาธยายถึงวิธีการที่ทำให้ท้ายสุดแล้วจ่ายค่าภาษีที่ดินน้อยกว่าอัตราจากราคาจริง ๕ เท่า ว่ามันคือ “การวางแผนภาษี” ไม่ต่างอะไรกับการวางแผนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
“เราไปเอาเบี้ยประกันชีวิต เบี้ยผ่อนบ้าน ซื้อกองทุนแอลทีเอฟ เงินบริจาค เขาเปิดโอกาสให้เราเอามาใช้เป็นค่าใช้จ่าย” อันทำให้วงเงินรายได้สุทธิสำหรับคำนวณการเสียภาษีลดลง “เป็นเรื่องปกติ...แน่นอนคนที่เกี่ยวข้องกับเงินเยอะๆ ก็อยากเสียภาษีให้น้อยที่สุด”
ไล่เรียงย้อนไปตอนเริ่มจะมีการซื้อขายที่ดินย่าน Ultra Luxury แปลงนี้ ผู้ขายได้จัดตั้งบริษัทถือครองที่ดินขึ้นโดยมีผู้ถือหุ้น ๑๒ ราย เนื่องเพราะถ้าขายแบบธุรกิจต่อธุรกิจ จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ๒๐% เป็นเงิน ๓๐๐ ล้าน
ด้วยว่าราคาที่ตรงนั้นตกตารางวาละเกือบ ๔ ล้าน ราคาขายจึงอยู่ที่เกือบ ๑,๖๐๐ ล้านบาท ขายแล้วต้องจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นทั้ง ๑๒ คน และแต่ละคนต้องไปเสียภาษีเงินได้กันคนละ ๓๕% “นายวีระคาดว่าจะอยู่ที่ ๒๐๐ ล้านบาท”
ถ้าร่วมกันขายจะต้องจ่ายภาษี ๕๐๐ ล้านบาท จึงได้มีการ ‘วางแผน’ ด้วยการปิดบริษัทเสียก่อน แล้วแจกจ่ายกรรมสิทธิที่ดินให้แก่ผู้ถือหุ้นทั้ง ๑๒ จากนั้นผู้ถือหุ้นแต่ละคนจึงแยกไปขายที่ในกรรมสิทธิของแต่ละคนให้บริษัทแสนสิริ คนละวัน
ตอนรับโอนบริษัทแสนสิริก็แยกโอนวันละคน มีค่าใช้จ่าย ค่าโอน ๒% ค่าแสตมป์ ๐.๕% ภาษีธุรกิจ ๓.๓% ตามราคาประเมิน “วาละ ๔ แสน” อันนี้ Chanin Rungtanakiat นัยว่ Chanin Rungtanakiat าเป็นผู้คร่ำหวอดวงการอสังหาริมทรัพย์ บอกว่าเป็นธรรมดา ราคาขายไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์ราคาประเมิน
ฉะนี้ จำนวนเงินเสียภาษีจากการซื้อขายครั้งนี้ตกที่ ๖๐ ล้านบาท บวกกับที่จ่ายบริษัทที่ปรึกษาจัดการเปลี่ยนสถานะกรรมสิทธิ์ที่ดิน อะไรต่างๆ ค่าจ้างอยู่ที่ ๓% ก็ราวๆ ๕๐ ล้านบาท รวมแล้ว ค่าใช้จ่ายจริงทั้งหมดประมาณ ๑๑๐ ล้านเท่านั้น
วีรภัทรบอกว่าอันนั้นเป็นเรื่องของผู้ขาย เป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่เกี่ยวกับผู้ซื้อ คือบริษัทแสนสิริในความรับผิดชอบของเศรษฐา
(https://www.matichon.co.th/politics/news_4115200#google_vignette และ https://twitter.com/ChaninNume/status/1687645523401228289)