https://www.facebook.com/waadrawee/posts/3202691153308853
Rawee Siri-issaranant
7h ·
จากเอกสารขอลี้ภัยที่ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ แถลงต่อทางการออสเตรเลีย
ข้อ 48 หน้า 12
วันที่ 10 พ.ย. ไม่กี่วันหลังจากลาออก ผมได้รับการติดต่อจาก พล.ต.ต. T โทรศัพท์มาบอกว่า พระบรมทราบเรื่องการลาออกแล้ว เห็นใจ ไม่อยากให้ลาออก จึงแนะว่าให้มาอยู่กับพระบรมฯ แทน เขายังบอกผมให้ติดต่อ พล.อ.อ. Ch หนึ่งในราชองครักษ์ ซึ่งบอกผมว่ายินดีมากที่จะได้ผมไปร่วมทีมเพราะดูประวัติการทำงานผมมาแล้ว และยังเล่าให้ผมฟังถึงบทสนทนากับพระบรมฯ ทรงถามเกี่ยวกับที่ผมถูกย้ายลงใต้ว่าหมายความว่าอย่างไรในทางปฏิบัติ พล.อ.อ. Ch บอกว่าได้ตอบพระบรมฯ ไปว่า หมายถึงว่าคำสั่งนั้นคือการส่งผมลงไปฆ่า ผมคิดแบบนั้นอยู่แล้วแต่เมื่อได้ฟังจากราชองครักษ์ของพระบรมฯที่มียศเป็นนายพลทหารแล้วก็คือการยืนยันชัดเจน
ข้อ 49 หน้า 13
ผมสับสนกับข้อเสนอเพราะไม่เคยทำงานกับพระบรมฯมาก่อน ผมเคยทำงานให้สมาชิกราชวงศ์คนอื่น แต่ไม่ใช่พระบรมฯ ผมไม่ค่อยอยากรับข้อเสนอ มันเกียวกับ...ในไทย โดยเฉพาะ...อ่อนไหวมาก มันยากและมักจะอันตรายที่จะทำงานให้พวกเขา อะไรก็แปลความว่าเป็นการล่วงเกินหรือทำให้ไม่พอพระทัย ซึ่งอาจส่งผลให้ถูกข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือบางคนก็หายไปเฉยๆ มีหลายกลุ่มทำงานอยู่ในราชสำนัก และก็มีความขัดแย้งกันมากระหว่างกลุ่มเหล่านี้ พวกเขาสามารถจะปั้นข้อหาใส่ความคน และผมเกรงว่าจะเกิดขึ้นกับผมแบบนั้น และ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ข้าราชการในพระองค์ซึ่งใกล้ชิดกับพระบรมฯ ก็ยังสนิทกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ที่ไม่ชอบผม
ข้อ 50 หน้า 13
ต่อมาผมได้รับโทรศัพท์จาก พล.อ.อ. S ราชเลขาฯของพระบรมฯ บอกให้ผมไปพบกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ให้ถอนใบลาออก เพื่อที่จะไปทำงานให้พระบรม เมื่อผมไปพบ พล.ต.อ. R เขาบอกผมว่าตอนนี้มีทางเลือกให้ผม 2 ทาง ให้ผมรับตำแหน่งใหม่ที่กรมสอบสวนกลางเพื่อทำงานเรื่องค้ามนุษย์ต่อ หรือจะไปอยู่ในหน่วยราชองครักษ์ของพระบรม ผมก็โล่งใจ เพราะผมอยากจะเป็นตำรวจ อยากทำเรื่องค้ามนุษย์ต่อ ไม่ได้อยากทำงานให้พระบรม และผมก็นึกว่านี่คือข้อเสนอจริงๆ ซึ่งผมจะได้รับการปกป้องจากพระบรม และยังสามารถทำงานที่ต้องการต่อได้ หลังจากนั้น ผมได้พบกับ พล.อ.อ. S ราชเลขาธิการของพระบรม และ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ข้าราชการในพระองค์ ซึ่งมายืนยันข้อเสนอ 2 ข้อกับผม พล.ต.อ.จุมพล ยังเสนอข้อเสนอที่ 3 คือให้ผมยังคงลาออกเหมือนเดิม
ข้อ 51 หน้า 13
วันต่อมา ผมได้พบกับ พล.อ.อ. S และบอกเขาว่าผมอยากทำเรื่องค้ามนุษย์ต่อ เขาไม่ได้คัดค้านอะไร และยังบอกว่าผมอาจจะทำงานให้พระบรมในอนาคตก็ได้
ข้อ 52 หน้า 13
12 พ.ย. ผมไปพบ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ระหว่างที่รอก็มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่อยู่ในห้อง รวมถึง พล.ต.อ. T พล.ต.อ. S และ พล.ต.อ. P เมื่อผู้บัญชาการตำรวจเข้ามา เขาบอกให้เจ้าหน้าที่นำบันทึกการถอนใบลาออกมาให้ผมเซ็น ผมเซ็น แต่ไม่ได้เก็บสำเนาเอาไว้ วางใจว่าคงเรียบร้อยแล้วต่อหน้านายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในห้อง ผมโล่งใจและคิดว่าสถานการณ์คงดีขึ้น และผมจะได้รับตำแหน่งใหม่ที่กรมตำรวจสอบสวนกลางเพื่อทำเรื่องค้ามนุษย์ต่อ
ข้อ 53 หน้า 14
อย่างไรก็ตาม คืนนั้นผมได้รับโทรศัพท์จากผู้ช่วยจักรทิพย์ บอกว่าต้องการพบผมวันถัดมาด้วยเรื่องทั่วไป เมื่อผมเข้าพบ ผมต้องประหลาดใจมาก พล.ต.อ.จักรทิพย์เข้ามาลงนั่งข้างผมและบอกว่า “ผมกับพี่เราไม่มีอะไรกันนะ ไม่เคยมีเรื่องอะไรกันมาก่อน แต่พี่ต้องลาออก และอยู่เงียบๆ” ผมตกใจมากกับคำสั่งนี้ เกิดอะไรขึ้นกับบันทึกถอนใบลาออกที่ผมเพิ่งเซ็น จักรทิพย์โทรหาจุมพล ซึ่งรับใช้ใกล้ชิดพระบรม แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ผมคุยกับจุมพล จุมพลบอกว่าผมต้องลาออกและอยู่เงียบๆ แบบที่จักรทิพย์บอก เขายังบอกให้ผมโทรหา พล.อ.อ. S แต่ตอนนั้นผมโทรไปแล้วเขาไม่รับสาย สุดท้ายผมส่งแมสเสจหาเขา บอกว่าเกิดอะไรขึ้น
ข้อ 54 หน้า 14
ราชเลขาธิการไม่รับสายหรือโทรกลับ ผมไม่แน่ใจว่าพวกเขาแค่แกล้งหลอกว่าจะให้ผมทำเรื่องค้ามนุษย์ต่อเพื่อให้ดูเหมือนว่าเป็นการลบหลู่พระบรมที่ผมไม่รับข้อเสนอ หรือพวกเขาพยายามทำอย่างอื่น ผมรู้สึกว่าทั้งหมดนี่น่าสงสัยมากเพราะพวกเขาเปลี่ยนใจเร็วมาก และผมกังวลว่ามันจะเป็นแผนล่อให้ผมตกอยู่ใต้ข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ผมตัดสินใจว่าทางที่ดีที่สุด ผมจะต้องออกจากกรุงเทพฯ ให้เร็วที่สุด ผมจึงบินกลับไปหาเพื่อนที่ภูเก็ตคืนนั้น
ข้อ 55 หน้า 14
ไม่มีอะไรมาก ขออนุญาตสรุปความว่า จักรทิพย์ประกาศผ่านทีวีว่า พล.ต.ต.ปวีณ ลาออก ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะแสดงว่าเขาต้องทำลายบันทึกถอนใบลาออกอย่างไม่ถูกต้อง ปวีณเกรงว่าเขาจะตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับ หมอหยอง โดยไม่มีใครสามารถช่วยเหลือได้
ข้อ 66, 67 หน้า 17
พล.ต.ต.ปวีณ เชื่อว่าเขากำลังตกเป็นเป้าของกลุ่มคนที่ “มีอิทธิพลสูงสุด” ของประเทศ
ตัวละครสำคัญของเรื่องนี้มี จักรทิพย์ จุมพล และ พล.อ.อ.S หรือ ส. ซึ่งก็น่าจะไม่ใช่ใครอื่น เพราะระบุตำแหน่งชัดว่าคือ “ราชเลขาธิการ” ของวชิราลงกรณ์ ตอนนั้นเป็นพระบรม ก็คือ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล
ความลึกลับซับซ้อนของเรื่องคือ เมื่อ ปวีณ ถูกย้ายลงใต้ ซึ่งชัดเจนว่าเป็นการย้ายลงไปเพื่อจะฆ่าเขาให้ถนัดๆ โดยราชองครักษ์ของพระบรมก็โทรมาบอกแบบนี้ คนสำคัญของพระบรม 2 คนก็เข้ามายื่นข้อเสนอเหมือนว่าจะมาช่วย แต่ไปๆมาๆ พอ ปวีณเลือกทำคดีต่อ พวกนี้รวมถึงจักรทิพย์กับจุมพลกลับบอกให้ “ลาออกและอยู่เงียบๆ” ส่วน “ราชเลขา” (สถิตย์พงษ์) นั้นก็เงียบหายไปทั้งที่เคยยืนยันว่าเขาสามารถทำคดีต่อ ปวีณคิดว่ามันคือกับดักที่จะทำให้เขาต้องตกไปอยู่ในชะตากรรมแบบหมอหยองเขาจึงตัดสินใจลี้ภัย
เพิ่มเติม วิกิลีกส์ ฉบับวันที่ 9 กันยายน 2552 และ 1 ตุลาคม 2552 เคยระบุไว้ว่า จุมพลเคยเป็นคนที่ทักษิณใช้ให้เป็นคนส่งเงินจากกองสลากให้พระบรม
พูดง่ายๆ ก็คือ จุมพล คนที่บอกกับปวีณให้ลาออกและอยู่เงียบๆ ไม่ต้องทำคดีค้ามนุษย์อีกต่อไป คือคนที่เคยเป็นคนส่งเงินให้วชิราลงกรณ์ สมัยเป็นพระบรม
Rawee Siri-issaranant
7h ·
จากเอกสารขอลี้ภัยที่ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ แถลงต่อทางการออสเตรเลีย
ข้อ 48 หน้า 12
วันที่ 10 พ.ย. ไม่กี่วันหลังจากลาออก ผมได้รับการติดต่อจาก พล.ต.ต. T โทรศัพท์มาบอกว่า พระบรมทราบเรื่องการลาออกแล้ว เห็นใจ ไม่อยากให้ลาออก จึงแนะว่าให้มาอยู่กับพระบรมฯ แทน เขายังบอกผมให้ติดต่อ พล.อ.อ. Ch หนึ่งในราชองครักษ์ ซึ่งบอกผมว่ายินดีมากที่จะได้ผมไปร่วมทีมเพราะดูประวัติการทำงานผมมาแล้ว และยังเล่าให้ผมฟังถึงบทสนทนากับพระบรมฯ ทรงถามเกี่ยวกับที่ผมถูกย้ายลงใต้ว่าหมายความว่าอย่างไรในทางปฏิบัติ พล.อ.อ. Ch บอกว่าได้ตอบพระบรมฯ ไปว่า หมายถึงว่าคำสั่งนั้นคือการส่งผมลงไปฆ่า ผมคิดแบบนั้นอยู่แล้วแต่เมื่อได้ฟังจากราชองครักษ์ของพระบรมฯที่มียศเป็นนายพลทหารแล้วก็คือการยืนยันชัดเจน
ข้อ 49 หน้า 13
ผมสับสนกับข้อเสนอเพราะไม่เคยทำงานกับพระบรมฯมาก่อน ผมเคยทำงานให้สมาชิกราชวงศ์คนอื่น แต่ไม่ใช่พระบรมฯ ผมไม่ค่อยอยากรับข้อเสนอ มันเกียวกับ...ในไทย โดยเฉพาะ...อ่อนไหวมาก มันยากและมักจะอันตรายที่จะทำงานให้พวกเขา อะไรก็แปลความว่าเป็นการล่วงเกินหรือทำให้ไม่พอพระทัย ซึ่งอาจส่งผลให้ถูกข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือบางคนก็หายไปเฉยๆ มีหลายกลุ่มทำงานอยู่ในราชสำนัก และก็มีความขัดแย้งกันมากระหว่างกลุ่มเหล่านี้ พวกเขาสามารถจะปั้นข้อหาใส่ความคน และผมเกรงว่าจะเกิดขึ้นกับผมแบบนั้น และ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ข้าราชการในพระองค์ซึ่งใกล้ชิดกับพระบรมฯ ก็ยังสนิทกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ที่ไม่ชอบผม
ข้อ 50 หน้า 13
ต่อมาผมได้รับโทรศัพท์จาก พล.อ.อ. S ราชเลขาฯของพระบรมฯ บอกให้ผมไปพบกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ให้ถอนใบลาออก เพื่อที่จะไปทำงานให้พระบรม เมื่อผมไปพบ พล.ต.อ. R เขาบอกผมว่าตอนนี้มีทางเลือกให้ผม 2 ทาง ให้ผมรับตำแหน่งใหม่ที่กรมสอบสวนกลางเพื่อทำงานเรื่องค้ามนุษย์ต่อ หรือจะไปอยู่ในหน่วยราชองครักษ์ของพระบรม ผมก็โล่งใจ เพราะผมอยากจะเป็นตำรวจ อยากทำเรื่องค้ามนุษย์ต่อ ไม่ได้อยากทำงานให้พระบรม และผมก็นึกว่านี่คือข้อเสนอจริงๆ ซึ่งผมจะได้รับการปกป้องจากพระบรม และยังสามารถทำงานที่ต้องการต่อได้ หลังจากนั้น ผมได้พบกับ พล.อ.อ. S ราชเลขาธิการของพระบรม และ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ข้าราชการในพระองค์ ซึ่งมายืนยันข้อเสนอ 2 ข้อกับผม พล.ต.อ.จุมพล ยังเสนอข้อเสนอที่ 3 คือให้ผมยังคงลาออกเหมือนเดิม
ข้อ 51 หน้า 13
วันต่อมา ผมได้พบกับ พล.อ.อ. S และบอกเขาว่าผมอยากทำเรื่องค้ามนุษย์ต่อ เขาไม่ได้คัดค้านอะไร และยังบอกว่าผมอาจจะทำงานให้พระบรมในอนาคตก็ได้
ข้อ 52 หน้า 13
12 พ.ย. ผมไปพบ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ระหว่างที่รอก็มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่อยู่ในห้อง รวมถึง พล.ต.อ. T พล.ต.อ. S และ พล.ต.อ. P เมื่อผู้บัญชาการตำรวจเข้ามา เขาบอกให้เจ้าหน้าที่นำบันทึกการถอนใบลาออกมาให้ผมเซ็น ผมเซ็น แต่ไม่ได้เก็บสำเนาเอาไว้ วางใจว่าคงเรียบร้อยแล้วต่อหน้านายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในห้อง ผมโล่งใจและคิดว่าสถานการณ์คงดีขึ้น และผมจะได้รับตำแหน่งใหม่ที่กรมตำรวจสอบสวนกลางเพื่อทำเรื่องค้ามนุษย์ต่อ
ข้อ 53 หน้า 14
อย่างไรก็ตาม คืนนั้นผมได้รับโทรศัพท์จากผู้ช่วยจักรทิพย์ บอกว่าต้องการพบผมวันถัดมาด้วยเรื่องทั่วไป เมื่อผมเข้าพบ ผมต้องประหลาดใจมาก พล.ต.อ.จักรทิพย์เข้ามาลงนั่งข้างผมและบอกว่า “ผมกับพี่เราไม่มีอะไรกันนะ ไม่เคยมีเรื่องอะไรกันมาก่อน แต่พี่ต้องลาออก และอยู่เงียบๆ” ผมตกใจมากกับคำสั่งนี้ เกิดอะไรขึ้นกับบันทึกถอนใบลาออกที่ผมเพิ่งเซ็น จักรทิพย์โทรหาจุมพล ซึ่งรับใช้ใกล้ชิดพระบรม แล้วยื่นโทรศัพท์ให้ผมคุยกับจุมพล จุมพลบอกว่าผมต้องลาออกและอยู่เงียบๆ แบบที่จักรทิพย์บอก เขายังบอกให้ผมโทรหา พล.อ.อ. S แต่ตอนนั้นผมโทรไปแล้วเขาไม่รับสาย สุดท้ายผมส่งแมสเสจหาเขา บอกว่าเกิดอะไรขึ้น
ข้อ 54 หน้า 14
ราชเลขาธิการไม่รับสายหรือโทรกลับ ผมไม่แน่ใจว่าพวกเขาแค่แกล้งหลอกว่าจะให้ผมทำเรื่องค้ามนุษย์ต่อเพื่อให้ดูเหมือนว่าเป็นการลบหลู่พระบรมที่ผมไม่รับข้อเสนอ หรือพวกเขาพยายามทำอย่างอื่น ผมรู้สึกว่าทั้งหมดนี่น่าสงสัยมากเพราะพวกเขาเปลี่ยนใจเร็วมาก และผมกังวลว่ามันจะเป็นแผนล่อให้ผมตกอยู่ใต้ข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ผมตัดสินใจว่าทางที่ดีที่สุด ผมจะต้องออกจากกรุงเทพฯ ให้เร็วที่สุด ผมจึงบินกลับไปหาเพื่อนที่ภูเก็ตคืนนั้น
ข้อ 55 หน้า 14
ไม่มีอะไรมาก ขออนุญาตสรุปความว่า จักรทิพย์ประกาศผ่านทีวีว่า พล.ต.ต.ปวีณ ลาออก ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะแสดงว่าเขาต้องทำลายบันทึกถอนใบลาออกอย่างไม่ถูกต้อง ปวีณเกรงว่าเขาจะตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับ หมอหยอง โดยไม่มีใครสามารถช่วยเหลือได้
ข้อ 66, 67 หน้า 17
พล.ต.ต.ปวีณ เชื่อว่าเขากำลังตกเป็นเป้าของกลุ่มคนที่ “มีอิทธิพลสูงสุด” ของประเทศ
ตัวละครสำคัญของเรื่องนี้มี จักรทิพย์ จุมพล และ พล.อ.อ.S หรือ ส. ซึ่งก็น่าจะไม่ใช่ใครอื่น เพราะระบุตำแหน่งชัดว่าคือ “ราชเลขาธิการ” ของวชิราลงกรณ์ ตอนนั้นเป็นพระบรม ก็คือ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล
ความลึกลับซับซ้อนของเรื่องคือ เมื่อ ปวีณ ถูกย้ายลงใต้ ซึ่งชัดเจนว่าเป็นการย้ายลงไปเพื่อจะฆ่าเขาให้ถนัดๆ โดยราชองครักษ์ของพระบรมก็โทรมาบอกแบบนี้ คนสำคัญของพระบรม 2 คนก็เข้ามายื่นข้อเสนอเหมือนว่าจะมาช่วย แต่ไปๆมาๆ พอ ปวีณเลือกทำคดีต่อ พวกนี้รวมถึงจักรทิพย์กับจุมพลกลับบอกให้ “ลาออกและอยู่เงียบๆ” ส่วน “ราชเลขา” (สถิตย์พงษ์) นั้นก็เงียบหายไปทั้งที่เคยยืนยันว่าเขาสามารถทำคดีต่อ ปวีณคิดว่ามันคือกับดักที่จะทำให้เขาต้องตกไปอยู่ในชะตากรรมแบบหมอหยองเขาจึงตัดสินใจลี้ภัย
เพิ่มเติม วิกิลีกส์ ฉบับวันที่ 9 กันยายน 2552 และ 1 ตุลาคม 2552 เคยระบุไว้ว่า จุมพลเคยเป็นคนที่ทักษิณใช้ให้เป็นคนส่งเงินจากกองสลากให้พระบรม
พูดง่ายๆ ก็คือ จุมพล คนที่บอกกับปวีณให้ลาออกและอยู่เงียบๆ ไม่ต้องทำคดีค้ามนุษย์อีกต่อไป คือคนที่เคยเป็นคนส่งเงินให้วชิราลงกรณ์ สมัยเป็นพระบรม