ราชกฤษฎีกา ๑๔ สิงหา นี่จะทำให้ความ ‘หมด’ ศรัทธาในหมู่นักเรียนนักศึกษาและผู้คนที่สนับสนุนนักสู้เพื่อประชาธิปไตย ‘ผ่อนคลาย’ หรือ ‘หายโกรธ’ ไหม คงไม่นะ ถ้าจะมีก็น้อยมาก เพราะวิกฤตที่เกิดมันไม่ใช่ต่อบุคคลมากไปกว่าระบบระบอบที่เน่าเฟะ
ข้อเรียกร้องหนึ่งในสิบข้อของขบวนการ #เยาวชนปลดแอก ที่ให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ (โดยใช้กฎหมายหมิ่นประมาทธรรมดาแทนก็พอแล้ว) นี่เองชี้ให้เห็นว่ามาตรานี้ถูกใช้เพื่อการ ‘เอาเปรียบ’ ทางเมือง ของระบบอำมาตย์และนักรบที่ได้แต่ข่มขู่คุกคามประชาชน
ดังจะเห็นได้ ณ เวลานี้ว่าพวกที่ ‘โหนเจ้า’ เพื่อประโยชน์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัวที่เรียงหน้าถวายส่วยบรรณาการ (ซึ่งแท้จริงก็คือ ‘สินบน’ เพื่อทำให้สถานะของตนมั่งคั่งและมั่นคงต่อไป) หรือนักการเมืองกระจอกอย่าง ‘ปูเค็ม’ ฉวยโอกาสวิจารณ์ ‘อุบลรัตน์’ สาดเสีย
แม้นเจ้าตัว ‘เหยื่อ’ จะบอกกับผู้ที่ไปถามไถ่ (ทางอินสตาแกรม) ว่า “ช่างนางเถอะนางแก่แล้ว อยากว่าก็ว่าไป” (โอ้ว รู้ลึกว่าเป็น ‘นาง’ เสียด้วย) แต่นี่ก็ชี้ชัดว่าว่าพวก ‘ผู้กอง’ นี่คอยจ้อง ‘โหน’ เพื่อให้เป็นข่าวเท่านั้นเอง หลังจากพยายามจะโหนกับ ‘ช่อ’ หลายครั้งไม่สำเร็จ
กฤษฎีกาที่ว่านั้นระบุ กรมราชทัณฑ์จะปล่อยตัวนักโทษ ๔ หมื่นคน ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๖๓ เพื่อ “แสดงพระมหากรุณาธิคุณ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ซึ่ง “นักการเมืองส่วนใหญ่ไม่อยู่ในเกณฑ์ได้รับพระราชทานอภัยโทษ เพราะทำผิดตามบัญชีแนบท้าย”
แต่ ‘นักการเมือง’ เหล่านั้น “จะได้รับการลดโทษตามสัดส่วน เพื่อเข้าสู่กระบวนการพักโทษ ปล่อยตัวก่อนหมดกำหนด โดยติดกำไลอีเอ็มหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว” พอดีกับที่คนเหล่านี้อยู่ในเครือข่ายพรรคเพื่อไทย
ตั้งแต่อดีตหัวหน้าพรรค ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ อดีตรองนายกฯ ปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรัฐมนตรี บุญทรง เตริยาภิรมย์ และอดีตแกนนำ นปช. ทั้ง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เหวง โตจิราการ วิภูแถลง พัฒนภูมิไทย และวีระกานต์ มุสิกพงศ์
หากจะมีบางคนย้อนว่าข้อกล่าวหาต่อคนเหล่านี้ไม่เกี่ยวโยงนักหรอก กับขบวนการนักเรียนนักศึกษาขณะนี้ ก็น้อมรับ เพียงแต่ว่ามันมีเรื่อง ‘ภาพพจน์’ อันเข้าข่ายข้อเรียกร้องหมายเลข ๘ ของ #เยาวชนปลดแอก ที่ว่าเลิกประชาสัมพันธ์ด้านเดียว เพื่อ ‘เชิดชูเกินงาม’
ทั้งๆ ที่การจับกุมตัว พริษฐ์ ชีวารัก เมื่อวานนี้ ไม่ได้ใช้กรณีเขาถูกฟ้องข้อหามาตรา ๑๑๒ แต่เป็น ๑๐ ข้อกล่าวหาแรงเหมือนกัน อันจะทำให้เขาติดคุกได้หลายปี ได้แก่ ม.๑๑๖ ยุยงปลุกปั่น และ ม.๒๑๕ มั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไป
จากการที่ผู้ฟ้อง ๑๑๒ ต่อ ‘เพ็นกวิน’ เป็นแค่นักการเมืองหางแถวคนหนึ่ง เคยเป็นผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเกษตรกรไทย นายสุขสันต์ เวียงจันทร์ ตกสวรรค์แล้วไปไหนไม่รอดก็เลยหวนกลับมาใช้การ ‘โหน’ เรียกความสนใจจากคนทั่วไปบ้าง
มันก็เลยเข้าทางของเพ็นกวินไปโดยปริยาย “ยิ่งพวกคุณระดมคนไปแจ้งความ ม.๑๑๒ กับผม ยิ่งชัดเจนว่าทำไมเราต้องยกเลิก ม.๑๑๒ และทำไมต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” แถมตบท้ายด้วยว่า “จะไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่พูดอย่างนี้แน่นอน”
และการที่มีพวกพ้องนักกิจกรรมของเพ็นกวินกับผู้สนับสนุนจำนวนมาก ไปยืนกรำฝนหน้าสถานีตำรวจสำราญราษฎร์ แถมติดเครื่องขยายเสียงอภิปรายเรียกร้องป้องกันมิให้เกิดอันตรายใดๆ แก่ผู้ถูกจับกุม ก็เป็นการยืนยันเช่นกันว่ามีคนพร้อมแล้วที่จะปะทะอำนาจมืด
อีกทั้งบทบาทที่มีการปรับกระบวนใหม่ของพรรคเพื่อไทย ประธานยุทธศาสตร์ฯ ขอโทษที่พลาดพลั้ง ‘สื่อสารผิด’ ไป ‘หน่อย’ พร้อมทั้งตั้งคณะทำงาน ๓๒ ส.ส.คอยติดตามอำนวยกระบวนการนักเรียนนักศึกษาและให้ความช่วยเหลือ เช่นยื่นขอประกันตัว
ทั้งหลายเหล่านี้ชี้ว่าขบวนการเยาวชนปลดแอกขยับเข้าสู่โหมด ‘ประชาชนและนักการเมืองปลดแอก’ ด้วยแล้วเช่นกัน ไหนจะการออกตัวของเครือข่ายประชาชน และ ๓๐ องค์กรประชาธิปไตย นำโดยวีระ สมความคิด และ ‘โบว์’ ณัฏฐา มหัทธนา
นัดประชุมเพื่อเตรียมการ แสดงพลังหนุนขบวนการนักเรียนนักศึกษา เรียกร้องรัฐบาลยุติข่มขู่คุกคามนักเคลื่อนไหวการเมือง และร่วมทางแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือผลักดันให้ร่างฉบับใหม่ มีฝ่ายประชาธิปไตยไม่สังกัด อย่าง เมธา มาสขาว สมชาย หอมละออ พริษฐ์ วัชรสินธุ์ ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ และบุญส่ง ชเลธร ร่วม
พร้อมกับกลุ่ม #ร่วมรื้อร่วมสร้างร่วมร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งรณรงค์ล่ารายชื่อจากประชาชนให้ครบ ๕ หมื่นคนเพื่อเสนอให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ถอดด้าม ตามแนวทางมาตรา ๒๕๖ “หลังจากเปิดตัวเพียงหนึ่งอาทิตย์” บัดนี้ได้แล้วหมื่นชื่อ หรือ ๑ ใน ๕
ถึงจุดนี้ กระบวนการเดินตามข้อเรียกร้องของนักเรียนนักศึกษา อยู่ที่ ‘a point of no return’ ถอยกลับไม่ได้แล้ว เป็นไรเป็นกัน
(https://www.thaipost.net/main/detail/74408, https://www.khaosod.co.th/politics/news_4704106 และ https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_4706723)