หากแต่เป็นสัญชาติญานการฮึดสู้ ที่รู้แน่ว่าตนเองยังไม่ได้แพ้ เพียงแค่เพลี่ยงพล้ำต่อการถูกอาเปรียบ ที่ต้องเอาคืน “ถ้าเกิดผมร้องไห้ แล้วเพื่อนผมได้กลับมามั้ยล่ะ ไม่มีประโยชน์ ผมแค่จำภาพไว้”
เขาเล่าถึงตอน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เดินออกจากห้องประชุมสภา “ผมมองพิชาก่อน (เดิน) ออก แล้วผมจำไว้ว่า ซักวันนึง ผมจะคืนความเป็นธรรมให้กับเพื่อนผม” นั่นเป็นความหมายที่เขาโยงใยถึงยุทธวิธีที่ว่า “ต้องหน้าด้านกว่า”
สรกล อุลยานนท์ เขียนสเตตัสตอนหนึ่งถึง ‘วิโรจน์ลักขฯ’ ว่า “ภาพในใจของเขาไม่มีเลยที่พรรคก้าวไกลจะออกมาแถลงข่าวบอกว่าจะถอนตัวไม่ร่วมรัฐบาล...ที่สำคัญก็คือ คนในพรรคก้าวไกลเห็นด้วยกับแนวทางนี้”
วิโรจน์ลักขฯ ‘คุยนอกจอ’ กับ ‘กรรมกรข่าว’ อย่างมั่นหน้าถึงการคุยในพรรค เกี่ยวกับการร่วมรัฐบาลโดยเป็นเบี้ยรองบ่อน แต่เสียงมากกว่าครั้งนี้ว่า “จุดยืนต้องมี แต่ต้องยืดหยุ่น ไม่ได้ถอยทุกเรื่อง” ท่ามกลางแรงกดดันให้ก้าวไกล ‘ถอยออกไป’
“...เราก็จะอยู่ เพื่อเป้าหมายสำคัญที่สุด คือ ‘ปิดสวิทช์ ๓ ป.’ สู้กับทุนผูกขาด ทำให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนดีขึ้น ฯลฯ” เขายังเอ่ยถึงคำสอนของพ่อซึ่งล่วงลับไปแล้ว ว่าคนน่ากลัวที่สุดคือ ‘คนหน้าด้าน’ ซึ่งมาได้เจอะเจอจังๆ
“ถ้าเราชนะ เขาก็จะโกง โกงไม่ได้ก็เปลี่ยนกติกา” เขาว่าถ้าสู้กับคนแบบนี้จึง “ต้องหน้าด้านกว่า”