วันจันทร์, กรกฎาคม 31, 2566

แม้แต่ Albert Camus ก็รู้ เหล่าทวยเทพ หาคนดียาก - เรื่อง ซีซิฟ งานที่สร้างแรงบันดาลใจและปลอบประโลมจิตใจในการต่อสู้ของ อ.ปืยบุตร และคงอีกหลายๆคน


Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล
July 15
·
[การต่อสู้ขึ้นสู่ยอดเขา โดยตัวมันเอง ก็เพียงพอที่จะเติมเต็มหัวใจของมนุษย์ เราต้องจินตนาการถึงซีซิฟเปี่ยมสุข - La lutte elle-même vers les sommets suffit à remplir un cœur d’homme. Il faut imaginer Sisyphe heureux]

ผมเลือกใช้รูปโปรไฟล์ในเฟสบุ๊คส่วนต้ว เป็นรูปของซีซิฟแบกก้อนหินขึ้นเขา มาเกินสิบปี

Le mythe de Sisyphe ของ Albert Camus เป็นงานที่ผมชอบมาก อ่านซ้ำหลายรอบ และเป็นงานที่ทำหน้าที่ทั้งสร้างแรงบันดาลใจและปลอบประโลมจิตใจในการต่อสู้ของผมมาโดยตลอด

ห้วงเวลาของการต่อสู้นี้ ผมอยากนำบางท่อนบางตอน ที่ผมเก็บเป็นโคว้ทไว้และรวบรวมไว้ในหนังสือที่เป็นของที่ระลีกในงานแต่งงาน มาให้อ่านกัน ดังนี้



"ทวยเทพได้ตัดสินลงโทษซีซิฟให้กลิ้งก้อนหินโดยไม่หยุดขึ้นไปบนยอดเขา ที่ซึ่งก้อนหินจะร่วงกลับลงไปด้วยน้ำหนักของมันเอง พวกเขาคิดว่าไม่มีบทลงโทษใดๆจะหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าการให้ทำงานที่ไร้ผลและไร้หวังอีกแล้ว

[…]

เราเข้าใจกันแล้วว่าซีซิฟเป็นวีรบุรุษไร้สาระ ซึ่งเขาเป็นทั้งโดยอารมณ์หลง และความทุกข์ทรมานที่ได้รับ การดูถูกเทพเจ้า เกลียดชังความตาย และการหลงใหลในชีวิตของเขา ทำให้ต้องโทษมหันต์เกินพรรณนา ซึ่งเขาต้องใช้ทั้งกายใจไปทำในสิ่งที่ไม่อาจบรรลุผลใดๆเลย นี่คือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับอารมณ์รักหลงต่างๆบนโลกนี้ เราไม่รู้เรื่องใดๆเกี่ยวกับซีซิฟ ในยมโลก เทพนิยายถูกสร้างขึ้นเพื่อให้จินตนาการได้ให้ชีวิตแก่มัน สำหรับเรื่องนี้ เราเห็นเพียงความพยายามทั้งหมดของร่างร่างหนึ่งที่ออกแรงทั้งหมดเพื่อแบกก้อนหินก้อนใหญ่ขึ้น แล้วกลิ้งและเข็นมันขึ้นไปตามลาดเนินซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นร้อยเที่ยว เราเห็นใบหน้าบิดเบี้ยว แก้มแนบติดก้อนหิน ไหล่ดันหินที่มีแต่ดินโคลน เท้าจิกพื้น แขนเหยียดยื่น สองมือมนุษย์ที่มีแต่ดินอันมั่นคง ณ ที่สุดของความพยายามอันยาวนาน ในกาละอันไร้ความลึก และเทศะไร้ขอบฟ้าแล้ว ก็ลุถึงที่หมาย และแล้วซีซิฟก็ได้เห็นก้อนหินกลิ้งกลับลงสู่โลกชั้นต่ำกว่าในเวลาเพียงครู่สั้นๆ เขาต้องลงไปกลิ้งมันกลับขึ้นสู่ยอดอีกครั้ง เขาเดินกลับลงสู่พื้นราบ

มันคือในระหว่างหันกลับ การพักของซีซิฟนั้นเองที่ผมสนใจ ใบหน้าที่กรำงานหนักใกล้กับก้อนหินนั้นได้กลายเป็นหินไปเองเสียแล้ว! ผมเห็นคนคนนั้นเดินกลับลงสู่การทรมานที่เขาไม่มีวันรู้จุดจบนั้นด้วยฝีก้าวหนักอึ้งแต่มั่นคง ชั่วขณะนั้นเท่ากับช่วงหายใจเฮือกเดียวและจะกลับมาอีกอย่างแน่นอน ดังเช่นเคราะห์กรรมของเขา นั่นคือชั่วขณะแห่งการสำนึกรู้ ณ ทุกขณะซึ่งเขาละจากยอดเขาและค่อยๆจมลงสู่ถ้ำของทวยเทพทีละน้อยนี้ เขาอยู่เหนือชะตากรรมของตน เขาหนักแน่นเช่นก้อนหินของตน

หากตำนานเรื่องนี้คือโศกนาฏกรรม นั่นก็เพราะว่าตัวละครเอกนั้นรู้สำนึก ว่าแต่โทษทัณฑ์ของเขาจะอยู่ที่ไหน ถ้าทุกก้าวที่ย่างไปนั้นมีความหวังของความสำเร็จค้ำจุนอยู่? คนงานในปัจจุบันทำงานเดิมๆทุกวันในชีวิต และชะตากรรมนี้หาได้ไร้สาระน้อยไปกว่ากันไม่ แต่มันจะเป็นโศกนาฏกรรมก็แต่เฉพาะในบางขณะที่เขาตระหนักหรือคิดได้ ซีซิฟ มนุษย์ผู้ต่ำต้อยของทวยเทพ ไร้อำนาจและพยศ รู้สภาพที่เลวร้ายทั้งหมดของตน และนี่คือสิ่งที่เขาคิดขณะเดินลงจากยอดเขา การมีสำนึกแจ่มชัดอันเป็นความทุกข์ทรมานของเขานั้น ก็เป็นชัยชนะด้วยในเวลาเดียวกัน ไม่มีเคราะห์กรรมใดๆที่ไม่ได้ข้ามพ้นตนเองด้วยการดูหมิ่นมัน

[…]

ความยินดีเงียบๆทั้งหมดของซีซิฟอยู่ตรงนั้น ชะตากรรมของเขาเป็นของเขา ก้อนหินของเขาเป็นของของเขา ทำนองเดียวกัน ขณะที่คนไร้สาระครุ่นคิดถึงความเจ็บปวดทรมานของตน ก็ได้ทำให้รูปเคารพทั้งหมดเงียบเสียง ในจักรวาลที่คืนสู่ความเงียบในบัดดลนั้น เสียงเล็กๆอันอัศจรรย์นับพันๆของโลกดังขึ้น เสียงกู่เรียกลับๆที่ไร้สำนึก คำเชื้อเชิญจากทุกใบหน้า เหล่านี้ล้วนเป็นด้านกลับที่จำเป็น และเป็นราคาที่ชัยชนะต้องจ่าย ไม่มีแสงตะวันที่ไร้เงา และเราจำต้องรู้จักกลางคืน คนไร้สาระตอบรับ และความพยายามของเขาจะไม่หยุดอีก ถ้ามีชะตากรรมส่วนบุคคลอยู่ ก็จะไม่มีชะตากรรมที่เหนือกว่า หรืออย่างน้อยที่สุดก็จะมีเพียงชะตากรรมเดียวที่เขาถือว่าเป็นชะตากรรมที่ไม่อาจฝืนและน่าหยาม ส่วนที่เหลือนั้น เขารู้ดีว่าตนคือนายแห่งวันเวลาของตน ในชั่วขณะอันละเอียดอ่อนซึ่งคนหันคืนสู่ชีวิตของตน ซีซิฟกลับไปยังก้อนหินของเขา พินิจใคร่ครวญการกระทำที่ต่อเนื่องอันไร้การเชื่อมโยงซึ่งกลายเป็นชะตากรรมของตนเหล่านั้น เขาเป็นผู้สร้างเอง เชื่อมเข้าด้วยกัน ภายใต้สายตาแห่งความทรงจำของเขา และในไม่ช้าจะถูกผนึกปิดโดยความตายของเขา ดังนั้น ด้วยเชื่อว่าทุกสิ่งที่เป็นมนุษย์ล้วนกำเนิดจากมนุษย์ คนตาบอดผู้ปรารถนาจะมองเห็นรู้ว่าความมือดไม่มีที่สิ้นสุด ซีซิฟดำเนินต่อไป ก้อนหินกลิ้งไปอีกครั้ง

ผมทิ้งซีซิฟไว้ที่เชิงเขา! เรามีภาระของเราเสมอ แต่ซีซิฟได้สอนเราถึงความซื่อสัตย์ขั้นสูงในการปฏิเสธเทพเจ้า และแบกก้อนหินขึ้น เขาอีกนั่นแหละที่เป็นผู้ตัดสินว่าทุกสิ่งทุกอย่างดีหมด สำหรับเขา จักรวาลที่นับจากนี้ไม่มีเจ้านาย จะไม่เป็นทั้งที่กันดารแห้งแล้งและไร้ประโยชน์ ทุกอณูของหินก้อนนั้น ทุกเกล็ดแร่ของภูเขาอันมืดมิดลูกนี้ ก่อรูปเป็นโลกโลกหนึ่งในตัวมันเอง การต่อสู้เพื่อมุ่งสู่ยอดเขาโดยตัวมันเองเพียงพอที่จะทำให้หัวใจคนเต็มตื้น เราจำต้องเชื่อว่าซีซิฟมีความสุข"

Albert Camus, Le mythe de Sisyphe, 1942

(สำนวนแปลโดย วิภาดา กิตติโกวิท, เทพตำนานซีซิฟ, มูลนิธิหนังสือเพื่อสังคม, 2558, หน้า 187-193.)