ศาลให้ประกัน ‘รุ้ง ปนัสยา’ ๔๒ วัน ออกไปสอบได้ แต่ไม่ให้ประกัน ‘เบนจา’ ข้อหาเหมือนกัน ต่างกรรมต่างความปราณี เบนจาเผยวานนี้ “เราดร็อปเรียนในเทอมนี้แล้ว หลังจากศาลไม่อนุญาตให้เราประกันตัว” เท่ากับว่าคำร้องต่างๆ ฟาวล์หมด
โดยเฉพาะข้อ ๕ “มีหน้าที่จะต้องเข้าเรียน จัดทํารายงานต่างๆ และเข้าสอบไล่ให้ครบ โดยผู้ต้องหามีกําหนดที่จะต้องสอบไล่ปลายภาคการศึกษารวม ๖ รายวิชาด้วยกัน” เบนจากำลังเรียนวิศวกรรมเครื่องกล เพื่อเป็นพื้นฐานไว้ไปต่อโทด้าน Aerospace Engineering
เธอบอกเวลานี้ “เกรดเฉลี่ยประมาณ ๓.๓...อยากทำงานด้านอวกาศ แต่เราวางแผนว่าจะเรียนให้จบปริญญาเอก เพราะไม่ได้หวังว่าจะเป็นวิศวกรไปตลอด บั้นปลายชีวิตอยากเป็นอาจารย์ เลยอยากเรียนเฉพาะทางเพื่อเอามาพัฒนาประเทศ”
ขณะนี้เธอถูกฝากขังด้วยคดีมาตรา ๑๑๒ จากการชุมนุมวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๔ อยู่ในทัณฑสถานหญิงกลาง นอนเบียดเสียด (๒๗ คน) ต้องงอเข่า “เพื่อนในห้องบอกว่าเดี๋ยวก็ชิน แต่เราสงสัยว่าทำไมต้องชิน ในเมื่อเราทำให้ดีกว่านี้ได้ ในเรือนจำเองก็ต้องพัฒนา”
ตอนนี้จิตใจชักระส่ำ “เริ่มสงสัยว่าหรือเราเองที่เข้าใจผิดมาตลอด เริ่มงงว่าเราผิดจริงเหรอ...นอกจากอาจารย์บางท่านที่เข้าใจนักศึกษา แต่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ As a whole ในฐานะที่เป็นองค์กรนั้นหายไปไหนเหรอ”
เบนจาถูกคุมขังมาตั้งแต่ต้นเดือนตุลา จากคดีการเมืองทั้งสิ้น ๑๙ คดี เป็นข้อหามาตรา ๑๑๒ เสีย ๖ คดี “โดยทุกคดียังไม่เคยมีคำพิพากษาของศาลว่ามีความผิด” ถูกปฏิเสธการประกันตัวในสองคดี เมื่อ ๒๑ ตุลา แล้วโดนพิพากษาจำคุก ๖ เดือนอีก ๑ คดี
๑ พฤศจิกา ศาลอาญาสั่งจำคุกเบนจา ฐาน ละเมิดอำนาจศาล “ให้เหตุผลว่า แม้ผู้ถูกกล่าวหารับข้อเท็จจริง แต่กลับต่อสู้ว่าไม่ผิด ไม่สำนึกในการกระทำผิด ส่งเสียงดัง ไม่สงบเรียบร้อย ก่อความรำคาญ แถลงการณ์ที่มีเนื้อหาประณาม ใส่ร้าย ดูหมิ่นตุลาการ”
ข้อเท็จจริงก็คือ เมื่อ ๒๙ เมษา “กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ชวนกันมาทำกิจกรรมยื่นจดหมายราชอยุติธรรม พร้อมทั้งยืนอ่านกลอนตุลาการภิวัฒน์ที่ศาลอาญา” จากการที่ศาลยกคำร้องขอประกันเพื่อนๆ ร่วมกิจกรรมหลายครั้ง หลายคน
“อ้างว่าศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวนายพริษฐ์กับพวกอย่างไม่เป็นธรรมและแตกต่างกับกรณีที่ศาลอนุญาตปล่อยชั่วคราวจำเลยในคดีของกลุ่ม กปปส.” หนึ่งในคำอ้างต่างๆ ที่ศาลยกเอามาตัดสินว่า “ล้วนเป็นความรู้สึกนึกคิดของผู้ถูกกล่าวหาเองทั้งสิ้น
โดยขาดฐานความรู้และความเข้าใจในข้อกฎหมายอันเป็นหลักสากลที่ใช้กันในนานาอารยประเทศ อีกทั้งข้ออ้างของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวนี้ ผู้ถูกกล่าวหาสามารถเรียกร้องขอความชอบธรรมได้ภายในกรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นๆ”
ต่อด้วยคำ “เหน็บแนมแกมประชด (อรุณเอ๋ยแบบบท ของแม่ช่างหยดช่างย้อย”) ว่า “ด้วยวิธีการที่ผู้เจริญหรือผู้มีอารยะปฏิบัติกัน” จากการที่เบนจาและพวกไปประท้วง แจกใบปลิวหน้าศาลว่า ผู้พิพากษาตุลาการ “อาจกระทำโดยไม่ชอบด้วยหลักนิติธรรม”
เลยดูเหมือนว่าศาลจะแค้นฝังหุ่นต่อการที่ถูกเด็กด่า เสียจนลืมคำว่า ‘impartiality’ ความไม่ลำเอียงด้วยเหตุวิสัยใดๆ ในกระบวนการให้ความยุติธรรม ทั้งที่ข้อกล่าวหาในฐานความผิดอย่างเดียวกัน คือทำการปราศรัยเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
จะกลายเป็นว่า ‘ผู้พิพากษา ตลก.’ เดี๋ยวนี้ถือดีว่ามีอำนาจเหนือกว่าประชาชนธรรมดา ที่ออกมาเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพอันเท่าเทียม ในการแสดงออกถึงความเห็นต่าง จึงเอาตนเป็นที่ตั้งยิ่งกว่า ‘สถาบัน’ อันเป็นปัจจัยให้เกิดการกล่าวหาว่า ‘ละเมิด’
แล้วมันได้ลุกลามไปสิงสู่อยู่ในบรรดาเครือข่ายใกล้เคียง ที่เรียกว่า ‘นักร้อง’ ด้วยแล้ว บางคนนึกจะพูดชี้ช่องอะไร ก็พูดออกไปโดยไม่ต้องตรวจสอบตนเองว่าถูกต้องหลักการ คุณธรรม และตัวบทกฎหมายไหม ดังที่ ศรีสุวรรณ จรรยา หาเรื่อง พส.
พอมีข่าวว่าพระมหาไพรวัลย์เตรียมลาสิกขา ศรีสุวรรณโพสต์ทันที “ทรัพย์สินของ พส.ที่ได้มาในขณะอยู่ในสมณเพศ ต้องตกเป็นของวัด” ไม่เพียงมหาไพรวัลย์ ‘สัพพีปัญญา’ ให้ว่าประมวล กม.แพ่งฯ ระบุ ทรัพย์สินของสงฆ์จะตกเป็นของวัดเมื่อมรณภาพเท่านั้น
เป็นนักร้องโง่เขลาและมีโมหะจริตได้ หวั่นๆ แต่ว่าตลาการจะเหลิงกันมากเสียจนเอาอย่างศรีสุวรรณนั่นแล
(https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3021153, https://tlhr2014.com/archives/36868 และ https://www.facebook.com/benjarrrrr/posts/3209446089338653)