Thanapol Eawsakul
14h ·
ความเข้าใจผิดเรื่องเพื่อไทย อนาคตใหม่/ก้าวไกล ตัดคะแนนกันเอง ในการเลือกตั้ง ส.ส. กทม. ปี 2562 จนมาถึงการเลือกตั้งผุ้ว่า กทม.ในปี 256xxx
................
การเลือกตั้ง ส.ส. กทม. ปี 2562 จากจำนวน ส.ส. 30 คนปรากฎวา
พรรคพลังประชารัฐกวาดไป 12 เขต รองลงมา พรรคอนาคตใหม่ 9 เขต และพรรคเพื่อไทย 9 เขต
ผู้เชี่ยวชาญการเมืองหลายคนบอกว่าความพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทย ใน
กทม. เป็นผลมาจากการที่พรรคอนาคตใหม่ ตัดคะแนน พรรคเพื่อไทย
ส่งผลตอมาให้พรรคพลังประชารัฐชนะเลือกตั้งและประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป้นนายกรัฐมนตรีมาจนถนถึงปัจจุบัน
ความคิดดังกล่าวยังส่งผลมาถึงการเลือกตั้ง ผู้ว่า กทม.ที่จะมาถึงด้วยว่า พรรคก้าวไกลซึ่งต่อเนื่องมาจากพรรคอนาคตใหม่ไม่ควรส่งผู้สมัคร เพราะจะตัดคะแนนกันเอง
ผมคิดว่าจำนวน ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐนั้นเกินจริง ถ้าเทียบกับความนิยมในตัวพรรค ขณะที่พรรคเพื่อไทยนั้นการเล่นเกมแตกแบงค์พัน จะส่งในเขตเกรด เอ ชนะเกิน 75 และเขตเกรด บี ชนะเกิน 50 และไม่ส่งเขตเกรดซี ชนะไม่เกิน 50 เพื่อหวังคะแนนไปรวมในระบบปาร์ตี้สิสต์
นั้นอาจจะถูกต้อง ถ้าดูจากความแม่นยำในการชนะถึง 40.9 % มากกว่าจะเป็น 30 % ถ้าส่งครบ
หรือนัยหนึ่งการแบ่งเขตเลือกตั้งที่แม่นยำของคณะรัฐประหารก็ช่วยให้พรรคพลังประชารัฐได้ ส.ส.มากเกินจริงใน กทม.
เราลองมาดูคะแนนดิบ ในการเลือกตั้ง ส.ส. 2562 กัน
- อนาคตใหม่ 9 ส.ส. (30 เขต) รวม 804,272 เฉลี่ย 26,829 ต่อเขต
- พลังประชารัฐ 12 ส.ส. (30 เขต) รวม 791,893 เฉลี่ย 26,396 ต่อเขต
- เพื่อไทย 9 ส.ส. (22 เขต) รวม 604,699 เฉลี่ย 27,486 ต่อเขต
- ประชาธิปัตย์ 0 ส.ส. (30 เขต) รวม 474,820 เฉลี่ย 15,827 ต่อเขต
เราจะเห็นได้ว่าคะแนนรวม และคะแนนเฉลี่ยของพรรคอนาคตใหม่จะสูงกว่าพรรคพลังประชารัฐ แต่ เมื่อมาดูตัวเลข ส.ส. จริงกลับพบว่ามากกว่า 25 %
ดังที่กล่่าวไปแล้วว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งที่แม่นยำของคณะรัฐประหารก็ช่วยให้พรรคพลังประชารัฐได้ ส.ส.มากเกินจริงใน กทม.
ขณะที่พรรคเพื่อไทยนั้น ถึงแม้คะแนนนวม 604,699 มาเป็นอันดับ 3
แต่เฉลี่ย 27,486 ต่อเขต มาเป็นอันดับ 1 สูงกว่าอนาคตใหม่เล็กน้อย แต่ 8 เขตที่พรรคเพื่อไทยไม่ส่งคือเขตเกรด ซี ชนะน้อยกว่า 50 % ซึ่งถ้าส่งลงทุกเขตก็อาจจะทำให้คะแนนเฉลี่ยมากขึ้นบ้างแต่ไม่น่าจะแซงพรรคพลังประชารัฐและไม่มีผลต่อ ส.ส. เขตใน กทม.
แต่ถ้าบอกว่า ในเขตที่ เพือไทย และอาคตตใหม่ ลงพร้อมกัน แล้วพรรคพลังประชารัฐชนะไปนั้น ถ้ามีสมมติฐานว่าถ้าไม่มีพรรคอนาคตใหม่ลงก็คงชนะไปแล้วนั้น ก็บอกได้ว่า คงไปบอกให้ กกต.ไม่จะทะเบียนตั้งพรรคอนาคตใหม่ตั้งแต่ต้นจะดีกว่า
กลับมาดูความพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ การได้คะแนนรวม 474,820 เฉลี่ย 15,827 ต่อเขต แทบจะมาที่ 4 ทุกเขตนั้นมี 2 สาเหตุหลักแน่ ๆ คือโดนแย่งคะแนนไปจาก 2 พรรคเกิดใหม่คือ พรรคอนาคตใหม่และพรรคพลังประชารัฐ
ซึ่งถ่าแบ่งคนละครึ่งของคะแนนพรรคอนาคตใหมกับพรรคพลังประารัฐ พรรคประชาธิปัตย์อาจจะชนะเลือกตั้ง ในกทม.ในปี 2562 ก็ได้ถ้าไม่มีพรรคอาคตใหม่
และบนสมมติฐานเดียวกัน การเลือกตั้ง ผุ้ว่า กทม. ถ้าจะมีในปี 2562 พรรคเพื่อไทยไม่ส่ง แต่ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ลงในนามอิสระ ผมเชื่อว่าคะแนนที่เคยเลือกเพื่อไทยจะไหลไปหาชัชชาติ และคะแนนคนอีกกลุ่มที่ไม่เลือกเพื่อไทยแต่ชอบชัชชาติก็จะไหลมา
ขณะเดียวกันถ้าพรรคก้าวไกลไม่ส่ง คะแนนส่วนหนึ่งก็อาจจะไหลกลับไปประาธิปัตย์ก็ได้ เช่นกัน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการเลือกตั้ง ส.ส. ทั้งก่อนหน้าและหลังเลือกตั้ง ผู้ว่า กทม. อาจจะไม่สัมพันธ์กันเลย เช่น ในการเลือกตั้ง ส.ส. กทม. ในปี 2544 กทม. มี ส.ส. 37 คน
พรรคไทยรักไทยได้ 29 ประชาธิปัตย์ ได้ 8 ถือ่วาชนะอย่างขาดลอยเกือบ 4 เท่า แถมผลงานของพรรคไทยรักไทย และทักษิณ ก็เป็นที่นิยม
ส่งผลให้การเลือกตั้ง ส.ส. กทม. ในปี 2548กทม. มี ส.ส. 37 คน พรรคไทยรักไทยได้ 32 ประชาธิปัตย์ ได้ 4 ชาตไทย 1 ถือ่วาชนะอย่างขาดลอยยิ่งกว่าเดิม
แต่กลายเป็นว่าการเลือกตั้ง ผู้ว่า กทม.ในปี 2547 อภิรักษ์ โกษะโยธิน ประชาธิปัตย์ (911,441) ชนะ ปวีณา หงสกุล ลงอิสระ แต่พรรคไทยรักไทยหนุนหลัง (619,039)
ดังนั้น
ปล่อยให้การเลือกตั้งทุกระดับเป็นธรรมชาติ
คนเลือกมีเจตจำนงอิสระ
พรรคการเมืองพร้อมที่จะเสนอนโยบาย
จะเป็นการเมืองที่มีคุณภาพ
...
Thanapol Eawsakul
21h ·
ใครเป็นคนต้นคิดทฤษฎีที่ว่าอนาคตใหม่/ก้าวไกลตัดคะแนนพรรคเพื่อไทย ที่เป็นตัวแทน "ฝ่ายประชาธิปไตย"
คำถามง่ายๆก็คือว่าอนาคตใหม่/ก้าวไกลไม่ตัดคะแนนพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นฝ่ายรัฐประหารเลยหรือ