ทัพยา ไทม์ Tappaya Time
Yesterday at 3:04 AM ·
เสียหาย “200 กว่าล้าน” พนักงานธนาคารดังหลอกโกงเงินในบัญชี ร้องแบงก์ต้องรับผิดชอบหลังทำนิ่งเฉย หากไม่ได้รับคำตอบพร้อมยกขบวนเข้า สตช.อีกครั้ง 11 มกราคมนี้
มีรายงานว่าวันนี้ (24 ธ.ค.) ที่บริเวณถนนริมชายหาดพัทยากลาง หน้า สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี มีกลุ่มนักธุรกิจทั้งชาวไทยและต่างชาติรวมกว่า 50 คน ยืนถือป้าย พร้อมร่วมตะโกนประท้วงขอความเป็นธรรมกับเจ้า หน้าที่ตำรวจ โดยระบุว่าถูกพนักงานธนาคารชื่อดังแห่งหนึ่งหลอกโกงเงินไปจำนวน 200 กว่าล้านบาท ซึ่งกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว แต่พบว่าทางธนาคารยังไม่เข้ามารับผิดชอบในการชดใช้ค่าเสียหายและคดีความที่ฟ้องร้องไปทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด
นายศิริชัย ปิยะพิเชษฐกุล ทนายความของกลุ่มผู้เสียหาย เปิดเผยว่าตามที่ลูกความซึ่งเป็นผู้เสียหาย 3 ราย ประกอบด้วย นางหวัง ยุน ชิ (Mrs.Wang Yun-chi) นายพัน ยง เชียง (Mr.Pan Yong-hiang) และ น.ส.พันเหว่ย หมิง ( Ms.Pan Hwei-ming) ได้ไปเปิดบัญชีเงินฝากประจำที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาพัทยากลาง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 200,003,000 บาท โดยทำธุรกรรมผ่านทาง นายชัยสิทธิ์ ทรัพย์เพิ่มพูน ในฐานะลูกจ้างพนักงานของธนาคารฯ ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการธนาคาร ในขณะนั้น
ปรากฏว่าช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ผู้เสียหายทั้ง 3 ได้ไปติดต่อธนาคารเพื่อนำสมุดเงินฝากประจำไปปรับรายการดอกเบี้ยเงินฝากและเบิกถอนเงินเมื่อครบกำหนด แต่ไม่สามารถเบิกถอนเงินที่ฝากไว้กับธนาคารได้ เนื่องจากนายชัยสิทธิ์ กับพวกซึ่งเป็นลูกจ้างของธนาคาร ได้ทำรายการเท็จลงในสมุดบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายทั้ง 3 ที่ออกโดยธนาคารฯ พร้อมลวงผู้เสียหายให้ฝากเงินประจำแทนการฝากแบบสะสมทรัพย์ แต่เงินของผู้เสียหายกลับไม่ถูกนำเข้าบัญชีตามระบบ โดยนายชัยสิทธิ์ ใช้สมุดบัญชีที่ธนาคารออกแต่ยกเลิกไปมาปรับรายการเพื่อทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อจนได้รับความเสียหายแยกเป็น นางหวัง ยุน ชิ (Mrs.Wang Yun-chi) จำนวน 120,001,000 บาท นายพัน ยง เชียง (Mr.Pan Yong-hiang) จำนวน 50,001,000 บาท และ น.ส.พันเหว่ย หมิง ( Ms.Pan Hwei-ming) จำนวน 30,001,000 บาท รวมทั้งสิ้น 200,003,000 บาท ทั้งนี้หลังทราบเรื่องพบว่า นายชัยสิทธิ์ กับพวก ที่กระทำผิดต่อหน้าที่ได้หลบหนีออกไปจากธนาคารฯสาขาดังกล่าว ดังนั้นในฐานะที่ธนาคารฯเป็นนายจ้าง จึงมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบชดใช้คืนเงินฝากทั้งหมดพร้อมค่าเสียหายจำนวนดัง กล่าว พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
นายศิริชัย กล่าวต่อไปว่าหลังเกิดเหตุทางสำนักงานทนายความของผู้เสียหายได้ส่งหนังสือที่ นต.1201/2564 ลงวันที่ 1 ธ.ค.64 เรื่อง “ขอให้คืนเงินฝากและชดใช้ค่าเสียหาย” ไปยังธนาคารฯ โดยให้ชดใช้ในวันที่ 7 ธ.ค.64 ซึ่งมีการรับไว้เป็นที่เรียบร้อย แต่ปรากฏว่าทางธนาคารฯเพิกเฉยและมิได้แจ้งเหตุขัดข้องให้ทราบ จึงถือว่ามีเจตนาที่จะเพิกเฉยและหลีกเลี่ยงที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำของนายชัยสิทธิ์ฯ จึงได้ทำหนังสือด่วนที่ นต.1206/2564 เพื่อขอให้คืนเงินฝากและชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งถือเป็นการแจ้งเตือนครั้งสุดท้าย โดยให้ดำเนินการภายในวันจันทร์ที่ 20 ธ.ค.64 ที่ผ่านมา มิฉะนั้นจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญาในข้อหาฉ้อโกงประชาชน และ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 ต่อไป
ส่วนการเดินทางมาประท้วงและเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ สภ.เมืองพัทยา ในวันนี้ ก็เพื่อเป็นการประกาศให้สังคมได้รับทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งร้องขอให้ทางผู้กำกับการ สภ.เมืองพัทยา ทำการปรับเปลี่ยนคณะเจ้าพนักงานสอบสวนชุดใหม่ เนื่องจากคดีดังกล่าวมีความล่าช้า ทำให้ผู้เสียหายได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามหากไม่ได้รับความเป็นธรรมใดๆในวันที่ 11 มกราคม 2565 กลุ่มผู้เสียทั้งหมดจะร่วมกันเดินทางไปร้องเรียนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และธนาคารกสิกรไทย สาขาใหญ่ เพื่อขอให้มีการเร่งรัดติดตามความคืบหน้าของคดีและมีการชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายต่อไป
....
นายศิริชัย ยังบอกอีกว่า ผู้เสียหายทั้ง 3 ราย ถูกหลอกลวงให้ฝากเงินประจำแทนการฝากแบบสะสมทรัพย์ แต่เงินของผู้เสียหายกลับไม่ถูกนำเข้าบัญชีตามระบบ เนื่องจาก นายชัยสิทธิ์ ได้ใช้สมุดบัญชีที่ธนาคารออกแต่ยกเลิกไปแล้ว มาปรับรายการใหม่เพื่อทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อจนทำให้ นางหวัง ยุน ชิ ได้รับความเสียหายมากถึง 120,001,000 บาท
ส่วน นายพัน ยง เชียง เสียหาย 50,001,000 บาท และ น.ส.พันเหว่ย หมิง เสียหาย 30,001,000 บาท รวมทั้งสิ้น 200,003,000 บาท ซึ่งหลังเกิดเรื่อง นายชัยสิทธิ์ และพวกที่กระทำผิดต่อหน้าที่ได้หลบหนีออกจากธนาคารสาขาดังกล่าว
"ในฐานะที่ธนาคารเป็นนายจ้าง จึงมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบและคืนเงินฝากทั้งหมดพร้อมค่าเสียหายและดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีให้ผู้เสียหาย"
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังกลุ่มผู้เสียหายได้เดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วเสร็จ ยังได้พากันเดินขบวนไปประท้วงและถือป้ายที่ด้านหน้าธนาคารที่เกิดเหตุบริเวณ สาขาพัทยากลาง เป็นเวลานานกว่า 30 นาที
โดยกลุ่มผู้เสียหายยังบอกอีกว่า หากสุดท้ายไม่ได้รับความเป็นธรรม วันที่ 11 ม.ค.2565 จะเดินทางไปร้องเรียนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานใหญ่ของธนาคารแห่งนี้ เพื่อขอให้มีการเร่งรัดติดตามความคืบหน้าของคดี และชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายโดยเร็ว
(ที่มา ผู้จัดการออนไลน์)
ศูนย์ข่าวศรีราชา -กลุ่มผู้เสียหายทั้งชาวไทยและต่างชาติในเมืองพัทยากว่า 50 คน รวมตัวเรียกร้องธนาคารใหญ่รับผิดชอบค่าเสียหายกว่า 200 ล้านบาท หลังถูกอดีต ผช.ผจก.สาขาหลอกโกงเงินในบัญชี ชี้ 11 ม.ค.ปีหน้าคดีไม่คืบพร้อมรวมตัวหน้า สตช.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (24 ธ.ค.) กลุ่มนักธุรกิจทั้งชาวไทยและต่างชาติกว่า 50 คนในเมืองพัทยา ได้พากันยืนถือป้ายประท้วงพร้อมตะโกนขอความเป็นธรรมต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ บริเวณด้านหน้า สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี พร้อมระบุว่า ถูกพนักงานธนาคารชื่อดังหลอกโกงเงินไปกว่า 200 ล้านบาท และเหตุการดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นเวลานานแล้ว
แต่ปัจจุบันธนาคารต้นสังกัดยังไม่แสดงความรับผิดชอบ หรือชดใช้ค่าเสียหายให้ลูกค้าที่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด อีกทั้งคดีความที่ฟ้องร้องไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังไม่มีความคืบหน้า
ขณะที่ นายศิริชัย ปิยะพิเชษฐกุล ทนายความกลุ่มผู้เสียหาย บอกว่า ตามที่ลูกความซึ่งประกอบด้วย นางหวัง ยุน ชิ นายพัน ยง เชียง และ น.ส.พันเหว่ย หมิง ได้ไปเปิดบัญชีเงินฝากประจำที่ธนาคารที่เกิดเหตุสาขาพัทยากลาง รวมเป็นเงิน 200,003,000 บาท โดยทำธุรกรรมผ่าน นายชัยสิทธิ์ ทรัพย์เพิ่มพูน ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารในขณะนั้น
“ปรากฏว่าช่วงกลางเดือน ม.ค.2564 ที่ผ่านมา ผู้เสียหายทั้ง 3 ได้ไปติดต่อไปยังธนาคารเพื่อนำสมุดเงินฝากประจำไปปรับรายการดอกเบี้ยเงินฝาก และเบิกถอนเงินเมื่อครบกำหนด แต่กลับไม่สามารถเบิกถอนเงินที่ฝากไว้ได้ เนื่องจากนายชัยสิทธิ์ และพวกซึ่งเป็นลูกจ้างธนาคารได้ทำรายการเท็จลงในสมุดบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายทั้ง 3 ที่ออกโดยธนาคาร”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (24 ธ.ค.) กลุ่มนักธุรกิจทั้งชาวไทยและต่างชาติกว่า 50 คนในเมืองพัทยา ได้พากันยืนถือป้ายประท้วงพร้อมตะโกนขอความเป็นธรรมต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ บริเวณด้านหน้า สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี พร้อมระบุว่า ถูกพนักงานธนาคารชื่อดังหลอกโกงเงินไปกว่า 200 ล้านบาท และเหตุการดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นเวลานานแล้ว
แต่ปัจจุบันธนาคารต้นสังกัดยังไม่แสดงความรับผิดชอบ หรือชดใช้ค่าเสียหายให้ลูกค้าที่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด อีกทั้งคดีความที่ฟ้องร้องไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังไม่มีความคืบหน้า
ขณะที่ นายศิริชัย ปิยะพิเชษฐกุล ทนายความกลุ่มผู้เสียหาย บอกว่า ตามที่ลูกความซึ่งประกอบด้วย นางหวัง ยุน ชิ นายพัน ยง เชียง และ น.ส.พันเหว่ย หมิง ได้ไปเปิดบัญชีเงินฝากประจำที่ธนาคารที่เกิดเหตุสาขาพัทยากลาง รวมเป็นเงิน 200,003,000 บาท โดยทำธุรกรรมผ่าน นายชัยสิทธิ์ ทรัพย์เพิ่มพูน ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารในขณะนั้น
“ปรากฏว่าช่วงกลางเดือน ม.ค.2564 ที่ผ่านมา ผู้เสียหายทั้ง 3 ได้ไปติดต่อไปยังธนาคารเพื่อนำสมุดเงินฝากประจำไปปรับรายการดอกเบี้ยเงินฝาก และเบิกถอนเงินเมื่อครบกำหนด แต่กลับไม่สามารถเบิกถอนเงินที่ฝากไว้ได้ เนื่องจากนายชัยสิทธิ์ และพวกซึ่งเป็นลูกจ้างธนาคารได้ทำรายการเท็จลงในสมุดบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายทั้ง 3 ที่ออกโดยธนาคาร”
นายศิริชัย ยังบอกอีกว่า ผู้เสียหายทั้ง 3 ราย ถูกหลอกลวงให้ฝากเงินประจำแทนการฝากแบบสะสมทรัพย์ แต่เงินของผู้เสียหายกลับไม่ถูกนำเข้าบัญชีตามระบบ เนื่องจาก นายชัยสิทธิ์ ได้ใช้สมุดบัญชีที่ธนาคารออกแต่ยกเลิกไปแล้ว มาปรับรายการใหม่เพื่อทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อจนทำให้ นางหวัง ยุน ชิ ได้รับความเสียหายมากถึง 120,001,000 บาท
ส่วน นายพัน ยง เชียง เสียหาย 50,001,000 บาท และ น.ส.พันเหว่ย หมิง เสียหาย 30,001,000 บาท รวมทั้งสิ้น 200,003,000 บาท ซึ่งหลังเกิดเรื่อง นายชัยสิทธิ์ และพวกที่กระทำผิดต่อหน้าที่ได้หลบหนีออกจากธนาคารสาขาดังกล่าว
"ในฐานะที่ธนาคารเป็นนายจ้าง จึงมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบและคืนเงินฝากทั้งหมดพร้อมค่าเสียหายและดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีให้ผู้เสียหาย"
นายศิริชัย ยังกล่าวอีกว่า หลังเกิดเหตุสำนักงานทนายความได้ส่งหนังสือที่ นต.1201/2564 ลงวันที่ 1 ธ.ค.64 เรื่อง “ขอให้คืนเงินฝากและชดใช้ค่าเสียหาย” ไปยังธนาคาร โดยให้ชดใช้ในวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา แต่ทางธนาคารยังเพิกเฉยและมิได้แจ้งเหตุขัดข้องให้ทราบ จึงถือว่ามีเจตนาที่จะเพิกเฉยและหลีกเลี่ยงที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำของนายชัยสิทธิ์
จึงได้ทำหนังสือด่วนที่ นต.1206/2564 เพื่อขอให้คืนเงินฝากและชดใช้ค่าเสียหายถือเป็นการแจ้งเตือนครั้งสุดท้าย และขอให้ดำเนินการภายในวันจันทร์ที่ 20 ธ.ค.64 ที่ผ่านมา มิฉะนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญาในข้อหาฉ้อโกงประชาชน และ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 ต่อไป
“ส่วนการเดินทางมาประท้วงและเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันนี้ เพื่อเป็นการประกาศให้สังคมได้รับทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งการร้องขอให้ ผกก.สภ.เมืองพัทยา ปรับเปลี่ยนพนักงานสอบสวนชุดใหม่เนื่องจากคดีมีความล่าช้าจนทำให้ผู้เสียหายได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก” นายศิริชัย กล่าว
จึงได้ทำหนังสือด่วนที่ นต.1206/2564 เพื่อขอให้คืนเงินฝากและชดใช้ค่าเสียหายถือเป็นการแจ้งเตือนครั้งสุดท้าย และขอให้ดำเนินการภายในวันจันทร์ที่ 20 ธ.ค.64 ที่ผ่านมา มิฉะนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญาในข้อหาฉ้อโกงประชาชน และ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 ต่อไป
“ส่วนการเดินทางมาประท้วงและเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันนี้ เพื่อเป็นการประกาศให้สังคมได้รับทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งการร้องขอให้ ผกก.สภ.เมืองพัทยา ปรับเปลี่ยนพนักงานสอบสวนชุดใหม่เนื่องจากคดีมีความล่าช้าจนทำให้ผู้เสียหายได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก” นายศิริชัย กล่าว
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังกลุ่มผู้เสียหายได้เดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วเสร็จ ยังได้พากันเดินขบวนไปประท้วงและถือป้ายที่ด้านหน้าธนาคารที่เกิดเหตุบริเวณ สาขาพัทยากลาง เป็นเวลานานกว่า 30 นาที
โดยกลุ่มผู้เสียหายยังบอกอีกว่า หากสุดท้ายไม่ได้รับความเป็นธรรม วันที่ 11 ม.ค.2565 จะเดินทางไปร้องเรียนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานใหญ่ของธนาคารแห่งนี้ เพื่อขอให้มีการเร่งรัดติดตามความคืบหน้าของคดี และชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายโดยเร็ว
(ที่มา ผู้จัดการออนไลน์)