อีกหน่อยก็จะเหมือนเผด็จการเมียนมาร์ ให้รถกระบะทหารวิ่งลุยพุ่งชนผู้ชุมนุม ตายคาที่ไป ๕ ศพ ต่างที่ คฝ.ไทยสลายม็อบ ‘จะนะรักษ์ถิ่น’ มียางอายอยู่นิด ปกปิดไม่ให้สื่อทำข่าว เอาไฟฉายส่องสวนใส่นักข่าว แสงเข้ากล้องถ่ายภาพไม่ได้
แท็คติคใหม่ปราบฝูงชนนี้แก้เกมองค์กรสื่อนานาชาติ ที่กำลังจับจ้องอยู่ก็เป็นได้ แม้นว่าข้อเรียกร้องของสถาบันสื่อนานาชาติ หรือ ‘IPI’ ระบุถึงการที่ กสทช. ‘ขอความร่วมมือ’ สื่อให้เซนเซอร์ตัวเอง จาก “การรายงานข่าวเกี่ยวกับผู้ชุมนุมขบวนการประชาธิปไตย”
นั้นต้นเรื่องมาจากการชุมนุมเรียกร้องปฏิรูปสถาบันฯ แต่นี่ “ไม่ใช่ม็อบเรียกร้องปฏิรูปสถาบันฯ ด้วยซ้ำ” อจ.ฐิตินันท์ เต็งอำนวย แห่งคณะนิติศาสตร์จุฬาฯ ติงว่า “ประชาชนมาเรียกร้องให้ทำตามที่เคยสัญญา ประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมของนิคมอุตสาหกรรมจะนะล้วนๆ”
คณะตู่จะอยู่ต่อก็ยัง “ไม่ฟังเสียงประชาชน สลายหมดทุกม็อบ” หรืออย่างนั้นก็เพราะ “เมื่อตอบคำถามของชุมชนไม่ได้ ก็เลยใช้วิชามาร” ดังที่ บรรจง นะแส@bnasae ทวี้ตกรอกหู “ทุเรศว่ะ” เพราะรัฐบาลตระบัดสัตย์ ไม่ทำตามสัญญา MOU
สัญญาดังกล่าวลงนามไปเมื่อ ๑๕ ธันวา ๖๓ ตกลงกันว่า จะยับยั้งโครงการนิคมฯ และการแก้ไขผังเมืองเอาไว้ก่อน แล้ว “จัดทำประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ SEA ร่วมกันก่อน เพื่อหาแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมร่วมกัน”
แต่แล้ว รัฐบาลกลับปล่อยให้นายทุนเดินหน้าโครงการ จัดทำผังเมืองใหม่เปลี่ยนพื้นที่ธรรมชาติบริสุทธิ์ไปเป็นแหล่งอุตสาหกรรม ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ชาวบ้านจึงยกขบวนกันมาปักหลักชุมนุมยื่นข้อเรียกร้อง ให้ตรวจสอบโครงการในทุกมิติ
ภายในเวลาไม่ถึง ๑๐ ชั่วโมงนับแต่ชาวจะนะ (แทบจะทั้งหมู่บ้าน) พากันมาสมทบ ‘ลูกสาวทะเล’ ไครียะห์ ระหมันยะ มานั่งประท้วงอยู่คนเดียวแล้วเป็นเวลา ๕ วัน รัฐบาลไม่สนใจส่งใครไปรับหนังสือร้องเรียน ตำรวจ คฝ.ก็เปิดฉากสลายชุมนุม
ก่อนการเคลื่อนกำลังเมื่อเวลาประมาณสองทุ่มครึ่ง “ดาบหวินประกาศผ่านลำโพง ไล่สื่อมวลชนขึ้นทางเท้า หากไม่ให้ความร่วมมือ อาจจะโดนด้วย” จากนั้น คฝ.พร้อมโล่และไม้กระบอง ไม่น้อยกว่า ๓๐๐ คน หน้าเดินเข้าสู่บริเวณที่ชุมนุม
ชาวจะนะราว ๕๐ คนกำลังปักหลักทำกิจกรรมสวดดูอาร์ขอพรพระเจ้า พวกเขาถูกหน่วย คฝ.เข้าจับกุม อุ้ม ลาก ไปยัดใส่รถตู้ไปควบคุมตัวไว้ที่สโมสรตำรวจวิภาวดี ท้ายที่สุดทำการเก็บตัวไว้ดำเนินคดี ๓๖ คน ซึ่งส่วนมากเป็นผู้หญิง
การกลับคำ กลืนน้ำลายตนเองและหันมาใช้ไม้แข็งกับช้าวบ้านจะนะเช่นนี้ มีสายสนกลในมากกว่ารัฐบาล โดย ศอ.บต. หรือศูนย์อำนวยการ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ เห็นแก่นายทุนอุตสาหกรรมแปรรูปพลังงาน ไม่ใยดีต่อวิถีชีวิตอันสอดคล้องธรรมชาติของชาวบ้าน
แล้วยังมีการเมืองเรื่องเส้นสายและเครือข่ายอำนาจเข้าไปคลุก ดังโพสต์ของ Thanapol Eawsakul ถามหา พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ อาศิส พิทักษ์คุมพล กับะ ซากีย์ ลูกชายของเขา ซึ่งล้วนเป็น “เครือข่ายชนชั้นนำมุสลิมที่หากินกับอำนาจรัฐ”
สุรินทร์ ปาลาเร่ เป็น ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ มีความสนิทชิดเชื้อกับ อาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี แล้วยังเป็นเลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ขณะที่ อาศิส พิทักษ์คุมพล ได้เป็น สว.ตู่ตั้ง ในโควต้าของพ่อ
“จุฬาราชมนตรีคนปัจจุบันนั้นอดีตเคยเป็นประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ที่ถูกดึงเข้าไปเป็นกรรมการประชาพิจารณ์ที่น่าขายหน้าเพื่อรับรองโครงการท่อก๊าซและโรงแยกก๊าซเมื่อหลายปีก่อน” ธนาพลท้าวความหลัง
“ยี่สิบปีผ่านไป ลูกชายของเขา ซึ่งถูกดึงเข้าไปร่วมสังฆกรรมกับ ๒๕๐ ส.ว. ของ คสช. ก็มีบทบาทหนุนหลังกลุ่มผลประโยชน์ที่พยายามทำตัวเป็นทางเลือกที่ ๓ อย่างเงียบ ๆ” มันไม่ใช่ ‘น่าเศร้า’ อย่างเดียว หากเป็น ‘โภคภัย’ มหันต์ที่จะตามมา
เหตุด้วยผลประโยชน์ใหญ่หลวงอันจะเกิดจากนิคมอุตสาหกรรมจะนะนี้ จะตกแก่เครือข่ายนายทุนและชนชั้นนำของพื้นที่เท่านั้น เฉกเช่นบรรดา เจ้าสัว หลายรายซึ่ง ‘ต่างตอบแทน’ กันและกันกับนักสืบทอดอำนาจ และนายเหนือหัวของมัน
(https://www.facebook.com/thanapol.eawsakul/posts/4865972180136249, https://ipi.media/thailand-aims-to-further-censor-media-reporting-of-protests/?, https://www.facebook.com/Noppakow.kong/posts/1195766137498480 และ https://www.facebook.com/Prachatai/posts/10158757727876699)