วันอังคาร, มิถุนายน 01, 2564

"Branding by Boy" วิเคราะห์ปรากฏการณ์นายกฟ้องประชาชน



Branding by Boy
May 29 at 11:25 PM ·

“วิเคราะห์ปรากฏการณ์นายกฟ้องประชาชน”
เมื่อการวิพากษ์วิจารณ์ = หมิ่นประมาท
ภาพภาวะผู้นำ กับ การขู่ให้เงียบเพื่อปกครองง่าย
written by Branding by Boy
“หมิ่นประมาทโดยโฆษณา” คือข้อหาที่คุณจอห์น วิญญูถูกฟ้องล่าสุด จากนายอภิวัฒน์ ขันทอง ประธานคณะกรรมการตรวจสอบและดําเนินคดีแก่ผู้เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (คตส.) ตามคําสั่งของนายกรัฐมนตรี
สำหรับตัวเอง ยอมรับว่าเป็นเรื่องน่าสนใจมาก ที่ #นายกฟ้องหมิ่นประมาทประชาชน เพราะมันเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เรามองเห็น และเข้าใจนักปกครอง ผู้บริหารบ้านเมืองมากยิ่งขึ้น
1) วันนี้ การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของสื่อ และประชาชน สำหรับบอย บอยมองว่าเป็นระบบ check and balance มันเหมือน 'การถ่วงดุลอำนาจ'
ถ้าคุณทำดีก็มีประชาชนลุกขึ้นมาชื่นชม ถ้าคุณทำแย่ ประชาชนและสื่อมวลชนก็มีสิทธิ์ พูดวิพากษ์วิจารณ์ และตรวจสอบการทำงานของคุณได้อยู่เสมอ มันควรเป็นไปโดยเสรี
2) ส่วนตัวมองว่า #การหมิ่นประมาท มีไว้เพื่อปกป้องเกียรติของตัวเอง เมื่อเกิดความเสียหาย และมีสิ่งที่ไม่เป็นความจริงมากระทบภาพลักษณ์ และชื่อเสียงของตนเอง แต่ในบทบาทผู้นำประเทศ การที่ตั้งหน่วยงานขึ้นมาตรวจสอบ เพื่อฟ้องประชาชน และสื่อมวลชน มันกลับกลายเป็น #ความไม่สง่างามทางภาพลักษณ์ เพราะคุณกำลังลงมาจัดการกับประชาชนจิ๊บจ้อย ซึ่งคุณอยู่จุดนั้นเป็นบุคคลสาธารณะ (Public Figure) การถูกพูดถึง ย่อมเป็นเรื่องปกติมาก และต้องมีเสียงที่ไม่พึงปรารถนาเข้ามากระทบกระทั่งเสมอ
3) ถ้าวันนี้ใครพูดถึงนายกไม่ดี แล้วถูกฟ้อง มันไม่ใช่กระบวนการจัดการที่เหมาะสม เพราะ #นายกตามเก็บcaseด่านายกทั้งประเทศไม่ไหว ผมเชื่อแบบนั้น ดังนั้นมันเหมือนการฟ้องเคสคนมีชื่อเสียงอย่างคุณจอห์น วิญญู เพื่อ #เชือดไก่ให้ลิงดู เห็นตัวอย่างแล้วนะ #ขู่ให้กลัว คนอื่นจะได้ไม่กล้าแบบคนดังพวกนี้ ที่กำลังเป็นข่าว
4) ในความจริง มันคือการลิดรอนสิทธิเสรีภาพการแสดงออกทางความคิดเห็นทางการเมืองของประชาชนอยู่ เมื่อชนชั้นผู้นำผู้บริหาร #แตะต้องไม่ได้ อ่อนไหวและเปราะบาง คำถามคือ นี่คือ #การปิดปาก ประชาชนให้บริหารง่ายขึ้นเหรอ? เรากำลังถูกปกครองประเทศด้วยระบอบอะไร? ถ้ามีคนถูกปิดปากด้วยคดีโน้นคดีนี้ อิสระทางความคิดของคนอยู่ไหน?
5) เรามองว่าสุดท้าย ระบบของบรรทัดฐานทางสังคมจะทำงานเอง (Social Norm) ความหมายคือ ถ้าคำวิจารณ์ใดเป็น #การวิจารณ์ที่ถ่อยและห่วย คนก็จะเข้าไปรุมตำหนิ และไม่ให้การยอมรับไปเอง ไม่จำเป็นต้องถึงมือนายกลงจากบัลลังก์มาฟ้องประชาชนเลย ดังนั้น ในความเป็นจริง นี่คือระบบสังคมที่การวิจารณ์ เป็นเสรีภาพ และมีกระบวนการของมันเอง ที่คนจะตอบโต้คำวิจารณ์ มีคนเถียงแทนคุณอยู่แล้วคุณนายก
ถ้าคุณเป็นคนทำงานดี มันจะมีคนมาพิสูจน์ตัวตนคุณ และช่วย support คุณเอง โดยไม่ต้องไปฟ้องให้เสียเวลา ถ้ามีวิจารณ์ทุเรศ คนจะออกมาตอบโต้กลับ มันคือ 'กระบวนการจัดการทางสังคมขั้นพื้นฐานมากๆ' แต่ถ้าเสียงวิพากษ์วิจารณ์เฮไปทางเดียวกัน อันนี้นายกต่างหากที่ต้องกลับมาทบทวนตัวเองว่า ฉันมีปัญหาเรื่อง Brand Image ไม่ใช่การพยายามจัดการกับประชาชน แต่ไปปรับปรุงตัวเองให้ทำงานดีกว่านี้ เสียงที่ดีก็จะสะท้อนกลับมาเอง
คล้ายๆนักแสดงเล่นแข็งเป็นหินแล้วคนด่า คนวิจารณ์ ถ้าเขาปรับปรุงการแสดง วันหนึ่งคนก็กลับมาชื่นชมพัฒนาการของเขา ถ้าเขายังเล่นแข็งเป็นหิน เขาก็ตกงาน คนก็ด่า เขาก็ไม่เจริญในหน้าที่การงานเอง แล้วคุณเป็นนายก คุณคิดอะไรได้บ้าง?!? อย่ารอตัวเองต้องตกงานเพราะประชาชนไม่เอาเรา เราต้องรีบพัฒนาตนเองด่วนๆ
6) การที่นายกมีหน่วยงานชื่อว่า
"คณะกรรมการตรวจสอบและดําเนินคดีแก่ผู้เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (คตส.)"
มันฟ้องว่านายกเปราะบางต่อคำวิจารณ์ และไม่มั่นใจเชิงภาพลักษณ์ จึงต้องวาง strategy ในการจัดการกับคนวิจารณ์ เพื่อให้ภาพทุกภาพออกมาตรงใจ เป็นกระดาษสีขาวบริสุทธิ์ ที่จะเขียนอะไรลงไปแบบงดงามก็ได้ แต่ในความเป็นจริง บุคคลสาธารณะถูกพูดถึงทุกวัน มันไม่มีทางกวาดหมดสิ้น ดังนั้นหน่วยงานล้างมลทินนี้ ไม่มีวันล้างมลทินจากคำวิจารณ์หมดอยู่แล้ว วิธีการคิดที่จัดตั้งหน่วยงานนี้มันเปลืองภาษีในการทำงานให้บ้านเมืองหรือไม่? เพราะควบคุมอย่างไร #เสียงคนไม่มีวันไปทางเดียวกันทั้งหมดอยู่แล้ว
7) ถ้า #ผู้นำประเทศฟ้องประชาชน ราวกับการ #ขู่ให้เงียบ ถูกทำขึ้นในทุกประเทศ สมัยที่ Donald Trump บริหาร USA คงฟ้องทุกวัน เพราะมีทั้ง Meme ตลกๆ การแซวจิกกัด หรือการเอาคลิปมาตัดต่อมากมาย มันฟ้องว่าบ้านเขามีเสรีภาพในการแสดงความเห็นจริงๆ และผู้นำประเทศเขาไม่มา #คิดใจปลาซิว หยุมหยิมกับประชาชนเลย แต่นายกตู่ กลับคิดมากในการที่เสียงของประชาชนแตกซะอย่างนั้น
8 ) #ประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยการด่า การจะหยุดการวิจารณ์ ก็เท่ากับไม่ให้ขับเคลื่อนประเทศ เพราะทุกวันนี้ ที่เห็นอะไรๆขยับได้ ส่วนหนึ่ง เพราะรัฐต้านแรงค้านที่เป็นเสียงทางลบไม่ไหว พลังโซเชี่ยลมันทำงาน ให้คุณพยายามทำหน้าที่ให้ดีขึ้น #จงเชื่อพลังแห่งการด่า อย่าเกลียดมันเลย ถ้าไม่มีมัน ไม่มีคนคัดค้านสิ่งต่างๆ ประเทศที่มีเสียงเดียวคือเสียงผู้นำ แต่สั่งให้ประชาชนเงียบ มันน่ากลัวนะ มันไม่ส่งเสริมสังคมแห่งความคิดและการจุดประกายทางปัญญา เพราะการห้ามวิจารณ์ตำหนิคือการห้ามคนคิดต่าง
9) #เงินเดือนนายกคือภาษีที่เราจ่ายไป เราจ้างคุณ ไม่ใช่ทำงานฟรี แล้วจะยืนอย่างสง่างามได้อย่างไร ในเมื่อปิดปากผู้คน ทั้งๆที่ไม่ได้บริหารได้ตรงใจเขา แต่กินเงินเดือนจากภาษีของพวกเขาทุกวัน เขาจ่ายเงินให้คุณเป็นภาษีเพื่อหวังให้คุณทำงานอย่างดี ตอบแทนภาษีของพวกเขา ดังนั้น เรามีสิทธิ์วิจารณ์การทำงานของคุณนะ เว้นแต่ว่าคุณทำงานให้คนอื่นอยู่ ที่ไม่ใช่ประชาชน ถ้าคุณทำงานให้เรา เราเป็นเจ้านายคุณ เพราะรัฐบาลต้องรับใช้ประชาชน ในฐานะผู้นำเงินภาษีของประชาชนไปบริหาร และได้รับเงินเดือนทุกเดือนจากภาษีของเราทุกบาททุกสตางค์ เรามีสิทธิ์วิจารณ์และตรวจสอบการทำงานของพวกคุณอย่างเต็มที่ โดยไม่ควรมีใครถูกฟ้องมิใช่เหรอ?
"คุณฟ้องคนที่จ่ายเงินเดือนมาให้คุณทำงานได้เหรอ?"
เราไม่จำเป็นต้องชื่นชมนายกเท่านั้น ตำหนิก็ควรจะทำได้ เราพูดความจริงกันได้ ในสังคมที่ต้องยอมรับความจริง และไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
"กลยุทธ์การสร้างความกลัวเพื่อปิดปากเราให้เงียบ และไม่กล้าโพสต์วิจารณ์ ใช่วิสัยทัศน์ผู้นำประเทศ ที่มีภาวะผู้นำจริงๆหรือ?"
ไม่รู้ว่าวันนี้ freedom of speech ในประเทศไทยมีอยู่จริงหรือไม่?
ไม่แปลกใจเลย ที่สื่อมวลชนบางส่วนเอ็นดูนายกรัฐมนตรี และเชื่องมากในเวลาที่ควรหันหน้ามา #พูดความจริง แต่หลายๆเรื่องกริบมาก #กริบอย่างไร้เกียรติ ก็อย่ามาเป็นสื่อเลย
อยากให้ทบทวนปรากฏการณ์นี้ร่วมกันนะ
"ฉันจ่ายภาษีให้เธอทำงานให้
สุดท้ายเธอเอาเงินภาษีนั้นกลับมาฟ้องฉัน?!?"
WOW!!!!!!!!!
IG : BrandingbyBoy
#BrandingbyBoy
.....
ชวนมองอีกมุม



Branding by Boy
Yesterday at 4:22 AM ·

มีคนมาถามบอยว่า "นายกฟ้องประชาชนหมิ่นประมาท ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะประชาชนทำผิดไม่ใช่เหรอ?"

บอยเลยทำ content ชุดนี้ออกมา เพื่อชวนคุณคิดกลับกันว่า

"คุณบอกว่านายกปกป้องตัวเอง จากการเสียชื่อเสียง ด้วยการฟ้องหมิ่นประมาทประชาชน ที่ทำงานให้ประชาชน ด้วยภาษีประชาชน"

แล้วคุณเคยคิดไหมครับ...

ว่าที่ผ่านมา ประชาชน หรือสื่อมวลชน คุณเคยปกป้องตัวเองจากนายกรัฐมนตรีคนนี้บ้างไหม?

ขนาดเขาฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์ใส่หน้าพวกคุณ ซึ่งเป็นอันตรายต่อเยื่อบุดวงตา ของที่ไม่ควรนำไปฉีดพ่นบริเวณใกล้ใบหน้า เพราะหากเข้าตา จมูก หรือช่องปาก มีโอกาสระคายเคือง

นักข่าวกลับเอ็นดู มองว่าเป็นการหยอกกันเล่นๆ แล้วปล่อยผ่าน ไม่เคยมีใครแจ้งความ หรือเอาผิดการกระทำอันไม่เหมาะสมเหล่านี้ ทั้งๆที่มี "เจตนาทำร้ายให้ได้รับความเดือดร้อน และอันตรายต่อร่างกาย"

แต่กลับเงียบกริบ

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เผยแพร่บทความผ่านเว็บไซต์ของสมาคม ซึ่งเป็นบทความ “นักข่าวตามนายกฯเป็นทีมประจำจะรู้อารมณ์นายกฯดี ไม่ค่อยตื่นเต้นตกใจเท่าไหร่ เวลานายกฯฟาดงวงฟาดงาหรือมีอารมณ์ขึ้น” ที่เขียนโดย ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ติดตามภารกิจนายกรัฐมนตรี ระบุว่า

- นิสัยนักข่าวคือจี้ถาม แต่ลักษณะของนายกฯคือ #ขี้เล่น
- นายกฯก็เห็นว่านักข่าวถามเยอะไปแล้วถามอยู่ได้ ถามคำถามเดิมๆก็ตอบไปแล้ว เลยเดินลงจากโพเดียม นำสเปรย์แอลกอฮอล์ที่ติดตัวไว้ตลอดฉีดพ่นใส่สื่อ
- นายกฯต้องการ #หยอกล้อเหมือนกับว่าถามมากนัก สื่อก็รู้ว่าแสดงความ #เป็นกันเอง และไม่มีใครได้รับผลกระทบจากการฉีดสเปรย์ในครั้งนั้น

========

แต่ในทางกลับกัน นายกปกป้องตัวเองได้ ฟ้องกลับประชาชนได้ และเอาผิดกับสิ่งที่เป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน ที่ควรเป็นไปโดยปกติตามระบอบประชาธิปไตย แต่ #วิจารณ์แล้วโดนฟ้อง

หรือจริงๆเคสที่สื่อเคยโดนกระทำจากนายก พวกคุณควร #ปกป้องตนเองแต่กลับไม่รักษาความถูกต้อง จากสิ่งที่นายกปฏิบัติต่อพวกคุณ

นี่แค่เคสฉีดสเปรย์นะ?!?

อาจเพราะมันไม่มีโทษฐานทางกฎหมายว่า "ทำประเทศชาติฉิบหายแล้วฟ้องเรียกค่าเสียหายได้" ไม่งั้นนายกคงโดนฟ้องไปนานมากแล้ว ไม่อยู่นานถึง 7 ปี ทุกวันนี้ ก็เลยไม่มีใครฟ้องนายกได้แม้แต่คนเดียว

========

คุณคิดเอาละกันครับ ว่าทุกวันนี้ "ประชาชน และสื่อมวลชนไทยกำลังถูกกลืนกินด้วยการปกครองระบอบใดกันอยู่"

เรากำลังยอมจำนนกับสิ่งที่ไม่เหมาะสม แล้วปล่อยให้สิ่งนั้นกลืนกินเราอยู่หรือไม่? และมันถูกต้องจริงๆเหรอที่เป็นแบบนี้?

เราไม่ใช่แฟนคลับคุณจอห์น วิญญูนะ เรามาเขียนให้ได้คิด และทบทวนไปด้วยกันนะ

IG : BrandingbyBoy
#BrandingbyBoy