วันอังคาร, เมษายน 20, 2564

นักการเมืองกำหราบ / กองทัพกอบโกย


ถึงวันนี้มาตรการสู้โควิดรัฐบาลตู่นี่ ยังลักลั่นไม่ทันกับความต้องการ นอกจากปัญหาวัคซีนไม่มาเสียทีแล้ว เรื่องเตียงรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ (ไม่ใช่ไม่พอ แต่ว่า) ไม่พร้อมเรื่องใหญ่ เท่าที่เห็นความพยายามแก้ ให้รัฐมนตรีป้ายแดงออกโรงโชว์

ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ คนที่เจ้าสัว คสช.รายใหม่ ชายกลาง ส่งไปทดลองงานดิจิทัล ก็จัดการสร้างความพร้อมแก่โรงพยาบาลสนาม ด้วยการสั่งติดระบบอินเตอร์เน็ต ไวไฟ ให้คนไข้รู้สึกเหมือนอยู่กับบ้าน สื่อสารกับญาติมิตรและหมออย่างสะดวก

อีกทั้งติดตั้งระบบซีซีทีวีคอยจับจาพฤติกรรมคนในนั้น หากเฮฮาปาร์ตี้ หรือเล่นไพ่ไฮโลกันเกินไปจะได้ยับยั้งไม่ให้เสียหน้ารัฐบาล นอกนั้นก็มี “มาตรการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ไม่หวังดีสร้างข่าวปลอม และบิดเบือนข้อเท็จจริง” จะได้ไม่เสียหน้ารัฐบาลอีกนั่นแหละ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การออกมาวิพากษ์วิจารณ์ของฝ่ายการเมืองต่างๆ ที่บิดเบือนเรื่องการทำงานของรัฐบาล” โดยให้ “รวบรวมหลักฐานส่งให้ศาลอาญาพิจารณา เพื่อขอคำสั่งศาลดำเนินการปิดกั้น รวมถึงส่งเรื่องให้ทางตำรวจ ปอท. ดำเนินการตามกฎหมาย

ทั้งนี้ผู้อ่านที่นี่ต้องเข้าใจเสียก่อนว่า คำ ข่าวปลอม บิดเบือน ที่ใช้อ้างนั้นเป็นภาษาราชการของรัฐบาลนี้ ใช้แทนคำต่างๆ ตามสภาพความเป็นจริง เช่น ผิดพลาด ขัดข้อง มั่วซั่ว หรือบิดบี้ยว ในการบริหารจัดการปัญหาโควิดของรัฐบาล


ยกตัวอย่างกรณีประชากรบ่นกันมากเสียจน ตู่หูตูบกลัววัคซีนไม่เพียงพอหากเกิดระบาดหนักข้อกว่าที่เป็นจนเกรงจะยั้งไม่อยู่ เพจ ‘Drama-addict’ เก็บข่าวเซี้ยวๆ จากจีนมาเล่น ว่า “เป็นดีลที่แปลกมาก” จากการที่ประธานาธิบดีอุรุกวัยเสนอแก่บรัทซิโนแว็ค

“บอกว่าเรามีเสื้อ เมสซี่พร้อมลายเซ็นให้สามตัว เอามาแลกวัคซีน” เอามั้ย ทางซิโนแว็คส่งวัคซีนไปให้เลย ๓ หมื่นโด๊สเซส แลกกับเสื้อที่ใช้สวมแข่งขันของนักฟุตบอลชื่อดังชาวลาตินอเมริกา มีคนไปต่อความยาวกันมากมาย เห็นว่าไทยน่าจะเอาอย่าง

รายหนึ่งทะลุกลางปล้องเลยว่า “ไทยเราอย่าน้อยหน้า เอารูปที่ไฟไม่ไหม้ไปแลก” (@oppahulahula) ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ขัน หรือไขว่คว้าด้วยอาการปริวิตก ก็แสดงออกอย่างหนึ่งแน่ๆ ว่าประชากรมีความหวาดกลัว ระแวงระไวในสถานการณ์จริงๆ

จึงได้มีข้อเสนอจากลุ่ม ธิ้งค์แท้งค์ ของอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่เรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพมากในการบริหารจัดการทางเศรษฐกิจและสังคม แต่การพัฒนาไม่ตลอดรอดฝั่ง เพราะพ่ายแพ้ทางการเมืองแก่พวกนิยมการยึดอำนาจ

‘CARE’ หรือมูลนิธิ คิดเคลื่อนไทยเสนอให้ “หั่น ๑๐% งบกลาโหม มาโถมให้วัคซีนดีไหม” พวกเขาอธิบายว่า “ประเทศไทยมีผู้ได้รับวัคซีนครบทุกโดสแล้วเพียง ๘๑,๔๒๙ คน คิดเป็น ๐.% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ” และผู้ที่ได้รับเพียงโด๊สมีเพียง ๕ แสนกว่า หรือ ๐.%

“ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนน้อยมากในบรรดาประเทศที่ปรากฎข้อมูลในสถิติ และถือว่าอยู่เป็นลำดับท้ายๆ ในกลุ่มประเทศอาเซียนมากกว่าเพียง ๒ ประเทศคือ เวียดนามและบรูไนฯ เพียงเท่านั้น” กลุ่มนี้ยังให้ข้อมูลควรใส่ใจด้วยว่าวิกฤตครั้งนี้ทำให้ ความจน เข้ามาครอบงำประเทศ

“ประชาชนมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากกว่าเดิมถึง ๓๓% และมีรายได้ลดลงกว่า ๕๔%...และที่สำคัญวิกฤตครั้งนี้ทำคนไทยอดอยากและยากจนเพิ่มมากขึ้นกว่า ๑๐ ล้านคน” แต่ในทางตรงข้ามกลับพบว่างบประมาณกลาโหมยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไม่บันยะบันยัง

คือจากต้นปี ๖๓ ที่เริ่มพบการระบาดโควิดในไทย งบฯ กลาโหมตอนนั้น ๒๓๑,๗๔๕ ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนอยู่แล้วกว่า ๔ พันล้าน พอปี ๖๔ งบฯ กลาโหมลดลงเหลือ ๒๒๓,๔๖๓ ล้าน เท่ากับลดจากปีที่แล้วเพียง ๓.๕๗%

จากข้อมูลเหล่านั้น กลุ่มคิดเคลื่อนไทยบอกว่า “เหล่าทหารหาญทั้งหลายจะอยู่ได้อย่างสุขสบายแล้วด้วยภาษีของประชาชน แถมยังมีเงินไว้ซื้ออาวุธ-ยุทโธปกรณ์อีกจำนวนมาก” ขณะที่ประชาชนกำลังตกทุกข์ได้ยากกันอยู่ สะท้อนภาพ หน้าตีนกับหลังมือ

“พอจะเป็นไปได้ไหมที่จะแบ่งงบประมาณอาวุธสงครามบางส่วน มาจัดหาอาวุธป้องกันเชื้อโรคให้ประชาชน” เขาถามเชิงวิงวอน ในเมื่อการทุ่มเทให้แก่กำลังทางทหารไม่ได้ทำให้ประเทศชาติดูดีอะไรขึ้น นอกจากบุคคลากรกลาโหมอิ่มหมีพีมันกัน

พวกเขาคำนวณกันแล้วว่าถ้าเอางบฯ กลาดหมปี ๖๓ และ ๖๔ จำนวนแค่ ๑๐% มาใช้เป้นงบประมาณจัดซื้อวัคซีนแก้โควิด วงเงินกว่า ๔๕,๕๒๐ ล้านบาท ซื้อวัคซีนยี่ห้อไหนๆ ในราคาอย่างสูงเพราะลืมจอง จะได้ตั้งแต่ต่ำสุด ๒๙% ของประชากร ถึงสูงสุด ๒.๗๕ เท่า

เขายังชี้ถึงการยกเลิกเกณฑ์ทหารด้วยว่า จะช่วยประหยัดงบประมาณเอาไปซื้อวัคซีนได้เท่าจำนวน ๒๒% ของประชากร แต่ก็เป็นที่น่าสลดยิ่งนักว่าพวกทหารมักจะไม่อยากใส่ใจ ในเมื่องบประมาณที่เพิ่มทุกปีได้เอาไปขุนกันเองให้อูฟู

กองทัพพยายามขยายตัวขยายขอบข่ายภารกิจของตนเข้าไปครอบคลุม แก่งแย่งงาน (และงบประมาณ) ที่ข่ายราชการอื่นทำอยู่แล้ว ดังที่ อจ.พวงทอง ภวัครพันธุ์ ระบุไว้มากมาย อย่างน้อยๆ ก็ ๒,๓๖๔ ล้านเข้าไปแล้ว

มิหนำซ้ำ การรบ หน้าที่หลักที่ทำมาช่วงกว่าสิบปี มีแต่การ ปราบปรามประชาชน

(https://www.facebook.com/puangthong.r.pawakapan/posts/4169328623117865, https://www.facebook.com/careorth/posts/306296227788741 และ https://thestandard.co/des-block-fake-news-and-distortion-during-the-covid-19-epidemic/)