วันอังคาร, เมษายน 13, 2564

ถ้าเปรียบเทียบรัฐบาลประยุทธ์เสมือนแมว แมวที่เรามี นอกจากจะสีไม่สวยแล้ว มันยังจับหนูไม่เป็นอีกต่างหาก แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้ จะไปเลี้ยงมันทำไม?!?



WorkpointTODAY
14h ·

#opinion ถ้าเราไปดูสำนักข่าวทั่วโลก อย่าง BBC ของอังกฤษ หรือ CNN ของสหรัฐอเมริกา ไม่มีสื่อไหนสนใจอีกแล้วว่า "ใครติดโควิดกันบ้าง" เพราะมันเลยจุดนั้นมาไกลมากแล้ว
เรื่องไวรัสที่พวกเขาพูดคุยตอนนี้ คือ ประชาชนจะได้วัคซีนครบ 100% ในเดือนไหน, การท่องเที่ยวจะคัมแบ็กกลับมาเต็มรูปแบบได้เมื่อไหร่ และ ทำอย่างไรจะกำจัดโควิด-19 ไปได้ตลอดกาล
ตอนนี้ประเทศไหนที่มีวัคซีนกันแล้ว ก็ค่อยๆกลับมาใช้ชีวิตกัน ที่สหรัฐอเมริกา ประชาชน 32.15% ได้รับวัคซีนกันแล้ว ขณะที่บางรัฐเช่น นิวเม็กซิโก, ไวโอมิ่ง หรือ มินเนโซต้า ประชาชนได้รับวัคซีนมากเกิน 85% ไม่แปลกที่เราจะเห็นผู้คนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติกันเยอะมากแล้ว กิจกรรมต่างๆ จัดได้ ไม่ต้องแคนเซิล หรือเลื่อน
ในการแข่งขันกอล์ฟ เดอะ มาสเตอร์ส ศึกเมเจอร์รายการแรกของปี ที่สนามออกัสต้า รัฐจอร์เจีย ผู้จัดกลับมาขายตั๋วแข่งขัน จำนวน 12,000 ใบ ต่อวัน ให้คนเข้ามาเชียร์กอล์ฟอย่างสนุกสนาน คือแน่นอนว่า ต้องใส่ Mask กันไป แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา ผู้คนก็ยังเอ็นจอยกับการดูกีฬากันได้
สิ่งที่เราสังเกตได้เลยคือ สื่อมวลชนที่ยุโรป หรือที่สหรัฐฯ ไม่ได้แคร์ว่าใครจะติดโควิด ไม่ต้องมาไล่เปิดไทม์ไลน์ทีละคน เพราะพวกเขารู้ว่ามันไม่จำเป็น คนติดโควิดจะเดินทางไป 20 เมืองก็ช่าง เพราะถ้าประชาชนฉีดวัคซีนซะอย่าง ก็ป้องกันโรคได้แล้วแค่นั้นเอง ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวลใจ
คือเอาเข้าจริงๆนะ คุณจะไปรู้ได้ไง ว่าคนติดไวรัสจะเดินทางไปไหนบ้าง ที่แจ้งไทม์ไลน์จะจริงหรือหลอกก็ไม่มีใครรู้ ดังนั้นที่ต่างประเทศก็เลยไม่สนใจเรื่องตัวบุคคล แต่สนใจภาพรวมเลยว่า ทำอย่างไรก็ได้ ที่จะเอาวัคซีนมาให้เร็วที่สุด เพื่อจบเรื่องนี้ซะ
แต่ที่ไทย ข่าวเฮดไลน์ที่นำเสนอกันคือ วันนี้ดาราหรือเซเล็บคนไหนติดโควิดบ้างนะ เฮ้ยวันนี้ วิลลี่ แม็คอินทอชติดโควิดว่ะ เฮ้ยวันนี้แจ๊ส ชวนชื่นติดโควิดว่ะ, เฮ้ย วันนี้นนท์ ธนนท์ติดโควิดว่ะ ฯลฯ จากนั้นก็บังคับให้ทุกคนเปิดไทม์ไลน์ของตัวเองซะ เพื่อคนรอบข้าง จะได้ไปตรวจต่ออีกที ว่าตัวเองติดโควิดด้วยหรือเปล่า
เมื่อมีการเปิดเผยว่ามีใครติดโควิดบ้าง สังคมก็เริ่มประณามที่ตัวบุคคล เราได้ยินบ่อยๆ กับคำว่า "เพราะแกนั่นแหละ ที่ไม่ดูแลตัวเองให้ดี ติดเชื้อเพราะป้องกันไม่มากพอล่ะสิ" นี่คือการ Label หรือตีตราคนที่ติดโควิดว่าไม่รับผิดชอบต่อสังคม แม้แต่นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ล่าสุดยังบอกว่า "สถานที่อโคจรก็ไม่ควรไป" เป็นการบอกว่า แล้วจะไปเที่ยวกลางคืนทำไมล่ะ ติดเชื้อมาก็ไม่แปลกนี่
การตีตราประชาชนนั้น ที่ไทยทำกันจนเป็นปกติ จนลืมไปว่า เชื้อไวรัสมันลอยอยู่ในอากาศ ต่อให้คุณป้องกันดีที่สุดในโลกแล้ว มันก็ยังมีโอกาสติดได้เสมอ คือไม่อย่างนั้นต้องอยู่บ้านอย่างเดียวไม่ต้องไปไหนแล้วล่ะ และถ้าเป็นแบบนั้น คิดดีๆ เราจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจกันอย่างไร ชีวิตคนต้องเดินต่อนะ
จุดนี้ ถ้าเรามองถึงปัญหาที่แท้จริงคือ ทำไมคุณต้องโยนทุกอย่างให้ประชาชนรับผิดชอบชีวิตตัวเอง คือ ตั้งแต่มีโควิดมา ประชาชนไม่อดทนพออีกหรอ ประเทศไทยล็อกดาวน์กันอย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่ปี 2563 ธุรกิจต่างๆ ยอมเจ็บตัว การท่องเที่ยวกลืนเลือดตัวเองทุกวัน ร้านอาหารตั้งขายที่ร้านไม่ได้ นักดนตรีกลางคืนไม่มีงานให้เล่น คนทำธุรกิจอีเวนต์เจ็บจนไม่รู้จะเจ็บยังไงแล้ว ดังนั้นอย่ามาบอกว่าประชาชนพยายามไม่มากพอ
ประเทศไทย คือหนึ่งในประเทศที่การ์ดแข็งที่สุด ประชาชนให้ความร่วมมือมากที่สุด ตอนคนญี่ปุ่นเห็นว่าคนไทยใส่ Mask ทุกที่ ยังรู้สึกทึ่งว่า ทำขนาดนั้นได้อย่างไร ไม่อึดอัดหรือ นั่นเพราะลักษณะนิสัยของคนไทย เราพยายามคิดถึงส่วนรวมกันนั่นแหละ
ในขณะที่ประชาชนยอมอดทนขนาดนี้ สิ่งที่ประชาชนคาดหวังคือ รัฐบาลจะทำทุกวิถีทาง เพื่อเอาวัคซีนมาให้ เพื่อให้เรื่องนี้มันคลี่คลายเสียที
คุณจะบอกให้ประชาชนยกการ์ดตลอดไปได้ไง ในชีวิตจริงเวลาต่อยมวย คุณยกการ์ดตลอดหรือเปล่าล่ะ? ในสังเวียนมวยถ้าอยากชนะคุณต้องปล่อยหมัดสู้บ้าง แต่ในเมื่อไม่มีวัคซีน เราก็ไม่มีอาวุธอะไร เอาไปสู้กับไวรัสได้ ประชาชนเลยต้องได้แต่ยกการ์ดอย่างเดียว
รัฐบาลนี้ ข้อดีก็ไม่ใช่ไม่มี เรื่องโครงการเราชนะ หรือเรารักกัน ก็นับว่ามีประโยชน์ มันทำให้ประชาชนทั่วประเทศ ลุงป้าน้าอา แม่ค้าตลาดนัด ทุกคนเข้าถึงการใช้อินเตอร์เนต รู้จักการใช้แอพพลิเคชั่นบนมือถือ นี่เป็นเรื่องดี หรืออย่างกรณีการปรับปรุงภูมิทัศน์คลองโอ่งอ่าง ให้เป็นแลนด์มาร์กใหม่ นี่ก็ทำได้น่าประทับใจ
ข้อดีมี ใช่ แต่เรื่องวัคซีน เราปฏิเสธไม่ได้หรอก ว่ารัฐบาลไม่สามารถทำอะไรสัมฤทธิ์ผลได้เลยสักอย่าง ในขณะที่ประเทศอื่นเขาไปไกลกันแล้ว แต่ไทยยังนับหนึ่งไม่ได้และเต็มไปด้วยข้ออ้างสารพัด หาไม่ได้เพราะเหตุผลนี้ เหตุผลนั้น
คือคนเกลียดรัฐบาลน่ะก็ด่าอยู่แล้ว เพราะความผิดมันเข้าตาขนาดนี้ ส่วนคนที่เชียร์รัฐบาลก็อย่าเชียร์แบบไม่ลืมหูลืมตา ถ้าหากอะไรที่ทำผิด ทำไม่ถูก ก็ต้องมากระทุ้ง หรือตำหนิ เพื่อให้สถานการณ์มันดีขึ้น
ความผิดพลาดที่เข้ามาตามากๆ คือประเด็นเรื่อง "โคแวกซ์" ย้อนกลับไปในช่วงปี 2563 องค์การอนามัยโลกจัดโครงการชื่อโคแวกซ์ (Covax Facility) โดยจะทำหน้าที่ เป็นหน่วยงานกลาง ที่จะแจกจ่ายวัคซีนให้กับทุกๆประเทศทั่วโลก
ประเทศที่เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มประเทศยากจน ถ้าเข้าร่วมปั๊บ ก็จะได้วัคซีนฟรีไปเลย (เช่น กัมพูชา ลาว เมียนมา ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ฯลฯ) กับอีกส่วนคือ กลุ่มประเทศที่มีรายได้สูงกว่า ถ้าอยากเข้าร่วมโครงการ ต้อง "จ่ายเงิน" เพื่อทำการจองวัคซีนเอาไว้
ประเทศไทย มีรายได้เกินเกณฑ์ประเทศยากจน ทำให้ไม่ได้รับวัคซีนฟรี และถ้าเราอยากเข้าร่วมโครงการเพื่อให้ได้รับวัคซีนจากโคแวกซ์ เราต้องจ่ายเงินค่าจอง โดยราคาจองวัคซีน (แบบเลือกยี่ห้อไม่ได้) คุณต้องจ่ายค่าจอง โดสละ 1.6 ดอลลาร์ (64 บาท)
โคแวกซ์กำหนดให้ แต่ละประเทศต้องซื้อขั้นต่ำ เป็นจำนวนอย่างน้อย 10% ของประชากร สรุปง่ายๆคือ ถ้ารัฐบาลยอมจ่ายค่าจอง 896 ล้านบาท เราจะมีวัคซีนให้ใช้งาน สำหรับประชาชน 7 ล้านคน (ประชากร 1 คน ใช้วัคซีน 2 โดส)
แต่สุดท้ายรัฐบาลก็ตัดสินใจ "ไม่เข้าร่วมโคแวกซ์" โดยให้เหตุผลว่า แทนที่จะเสียค่าจองกับโคแวกซ์ ต้องจ่ายเงินเกือบพันล้านบาทไปฟรีๆ สู้ไปซื้อจากผู้ผลิตโดยตรงดีกว่า เพราะเลือกยี่ห้อได้ ได้ราคาถูกกว่า แถมไม่โดนบังคับซื้อ 10% ของประชากรอีกต่างหาก ภาครัฐอธิบายเหตุผลมากมาย สุดท้ายคือ ไม่ยอมร่วมขบวนโคแวกซ์นั่นแหละ
ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกสำนักนายกฯ ทวีตแจ้งว่า "เราไม่ตกขบวนวัคซีน" เพราะนั่นเป็นทางเลือกของรัฐบาลไทยเอง แต่นั่นยิ่งแสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะ ณ เวลานี้ ทุกชาติที่เข้าร่วมโคแวกซ์ ที่เขายอมเสียค่าจองไปก่อน ได้วัคซีนกันหมดแล้ว
นิวซีแลนด์ ประเทศที่ต้องเสียค่าจอง ได้วัคซีนผ่านโคแวกซ์ไปเรียบร้อยแล้วในล็อตแรกเดือนมีนาคม และจะได้ล็อตที่สองอีกในเดือนกรกฎาคม ขณะที่กัมพูชาก็ได้ไปแล้วจากโคแวกซ์มากกว่า 3 แสนโดส ขณะที่มาเลเซีย จะได้วัคซีนผ่านโคแวกซ์ รวมกับที่จ่ายเงินซื้อจากผู้ผลิตโดยตรง จำนวน 6.4 ล้านโดส ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้
ส่วนประเทศไทยก็เหมือนเดิม คือไม่ได้วัคซีนอะไรเลยจากโครงการโคแวกซ์ เพราะเราไม่ได้เข้าร่วมด้วย
ถ้าเราไปดูแนวคิดของประเทศที่เจริญแล้ว เช่น ออสเตรเลีย หรือสิงคโปร์ รัฐบาลจะจัดหาวัคซีนทุกวิถีทาง เจรจาโดยตรงกับผู้ผลิตก็ทำ เช่นเดียวกับโคแว็กซ์ก็ต้องเข้าร่วมด้วย แสดงความจริงใจว่าจะหาวัคซีนมาให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด
แต่การตัดสินใจของรัฐบาลที่ยังห่วงเงินหลัก 1 พันล้านบาท (งบกระทรวงกลาโหม ปี 2564 คือ 107,740 ล้านบาท) แทนที่จะห่วงเรื่องสุขภาพของประชาชนเป็นอันดับ 1 มันแสดงถึงทัศนคติที่ภาครัฐมีต่อวิกฤตินี้ คือแก้เท่าที่แก้ได้ แต่ไม่ขวนขวายทำอะไรให้มันดีจริงๆ
หรือรัฐบาลจะบอกว่า ประเทศไทยไอเดียดีสุด ฉลาดสุด งั้นคุณจะบอกว่า สิงคโปร์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ไม่ฉลาดงั้นหรือ นั่นคือประเทศพัฒนาแล้ว เขายังเลือกเข้าร่วมโคแวกซ์ด้วย ทำไมเราเห็นเขาแล้วไม่เรียนรู้ไว้ หรือไม่ก็เดินตามทิศทางที่น่าจะเวิร์กแน่ๆล่ะ?
นับจนถึงวันที่ 11 เมษายน 2564 ประชาชนไทยได้รับวัคซีนไป 0.4% ในขณะที่ชาติอื่นๆในอาเซียน ได้มากกว่าเราแทบทั้งหมด เช่น สิงคโปร์ (17.95%), อินโดนีเซีย (3.16%), กัมพูชา (1.37%) หรือแม้แต่เพื่อนบ้านอย่างลาว (0.56%) ก็ยังได้รับวัคซีนต่อประชากร มากกว่าประเทศไทยเสียอีก
เรื่องโคแวกซ์ เป็นประเด็นหนึ่ง ส่วนอีกประเด็นคือการที่รัฐบาลมั่นใจมากว่า บริษัท สยามไบโอเซนส์ จะผลิตวัคซีน AstraZeneca ขึ้นมาได้เพียงพอต่อความต้องการ แต่สุดท้ายความจริงก็ปรากฏว่า กว่าจะถ่ายทอดเทคโนโลยี กว่าจะผลิตขึ้นมาใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม สิ้นปีนี้ ก็ยังไม่ครอบคลุมทั้งประเทศอยู่ดี
แผนการจัดหาวัคซีนของประเทศไทย คือ วัคซีน Sinovac จำนวน 2 ล้านโดส (ไม่เกินเมษายน 2564), AstraZeneca ล็อตแรก 26 ล้านโดส (ไม่เกินสิงหาคม 2564) และ AstraZeneca ล็อตสอง 35 ล้านโดส (ไม่เกินธันวาคม 2564)
ดังนั้นตามที่กระทรวงสาธารณสุขแจ้ง ไทยจะได้วัคซีนทั้งหมด 3 รอบ เป็นจำนวน 63 ล้านโดส ในสิ้นปีนี้ ตัวเลขนี้แปลว่าอะไร แปลว่าสิ้นปีนี้จะมีคนไทยได้รับวัคซีนจำนวน 31.5 ล้านคนเท่านั้น (เพราะประชาชน 1 คน ต้องใช้วัคซีน 2 โดส)
ประชากรไทยทั้งประเทศมี 66 ล้านคน ดังนั้นสิ้นปี 2564 คนไทยก็ยังได้วัคซีนไม่ถึง 50% ซึ่งป่านนั้นคนทั้งโลก เขาคงฉีดวัคซีนกันครบแล้ว และเริ่มกลับมาเปิดภาคธุรกิจเต็มรูปแบบ รวมถึงเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวกันแล้ว
นี่ยังไม่นับว่า 2 วัคซีนที่เรามี จะป้องกันได้ผลแค่ไหนด้วยนะ เพราะในงานวิจัยระบุว่ายี่ห้อดังอย่าง Pfizer มีประสิทธิภาพ 95% ส่วน Moderna อยู่ที่ 94.5% ขณะที่ AstraZeneca มีประสิทธิภาพการป้องกันไวรัสอยู่ที่ 54.1% ส่วน Sinovac อยู่ที่ 50.4% ต่างกันครึ่งต่อครึ่ง
เรื่องปริมาณวัคซีนไม่พอ รัฐบาลก็มาพบความจริง เหมือนที่เขาเตือนกันตั้งแต่แรกนั่นแหละ ว่าการไปคาดหวังกับผู้ผลิตยี่ห้อเดียว มันไม่มีทางหรอก ที่จะได้วัคซีนครอบคลุมทั้งประเทศ สุดท้ายรัฐบาลเลยต้องเชิญโรงพยาบาลเอกชน ตั้งคณะทำงาน เพื่อหา "วัคซีนทางเลือก" ขึ้นมา หรือแปลง่ายๆว่า ภาคเอกชนมาช่วยที เพราะภาครัฐเองก็จนปัญญาแล้ว
เอาจริงๆ ทุกประเทศ มีข้อจำกัดของตัวเองทั้งนั้นในการหาวัคซีน แต่นี่แหละคือเวทีที่จะวัดความสามารถของคนที่ทำหน้าที่บริหารประเทศ ว่าสามารถใช้ทักษะทั้งหมด เพื่อจัดหาวัคซีนให้ประชาชนของตัวเองได้หรือไม่ ซึ่งที่ไทยเรา ก็อย่างที่เห็น ว่ายังไม่มีความหวังอะไร เป็นชิ้นเป็นอัน
เมื่อรัฐบาลไม่เห็นความสำคัญว่า เวลา 1 วันที่ฉีดวัคซีนช้ากว่าชาติอื่น เศรษฐกิจจะมีมูลค่าเสียหายมหาศาลแค่ไหน นี่ล่ะคือสิ่งที่เกิดขึ้น และเมื่อคุณไม่สามารถควบคุมไวรัสได้ ก็ง่ายดี ถ้าจะโทษประชาชนว่า "ก็การ์ดตกกันเอง" หรือไม่ก็ "ไม่ระวังกันเอง" โดยไม่ยอมรับความจริงเลยว่า ตัวเองบริหารผิดพลาดขนาดไหน
ย้อนกลับไปที่ประโยคแรกสุดของบทความ สำนักข่าวใหญ่ๆของโลก BBC หรือ CNN ไม่นำเสนอเรื่องใครบ้างที่ติดโควิด-19 อีกแล้ว แต่ทำไมประเทศไทยยังนำเสนออยู่ นั่นเพราะคนไทย ไม่มีความหวังเรื่องวัคซีนไง พอไม่มีความหวัง สื่อก็เลยทำได้แค่บอกให้ประชาชนระวังตัว อย่าไปอยู่ใกล้คนที่ติดแค่นั้น
แน่นอน คุณจะรักรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ว่ากัน อันนั้นเป็นสิทธิ์ แต่คุณปฏิเสธไม่ได้หรอก ว่ารัฐบาลมีปัญหาจริงๆ ในการจัดการเรื่องวัคซีน ทั้งล่าช้า ทั้งเต็มไปด้วยข้อแก้ตัว คือสำหรับประชาชน ถ้าเราเห็นอะไรผิดพลาดก็ตำหนิเถอะ การวิพากษ์วิจารณ์ เขาจะได้รู้ตัวและปรับปรุงมันซะ ไม่ใช่คิดว่าตัวเองทำถูกอยู่ตลอดเวลา ถ้ารักกันจริงอย่าให้ท้ายกันไปทุกเรื่อง
สำหรับรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ถูกเลือกเข้ามาอย่างเต็มไปด้วยข้อครหา การที่นายกฯ ถูกเลือกทุกวันนี้ ทุกคนรู้ดีว่าได้วุฒิสมาชิก 250 คน โหวตช่วย แต่เอาล่ะ ในเมื่อคุณเข้ามาแบบผิดวิธีแล้ว อย่างน้อยที่สุด สิ่งที่จะทำให้ประชาชนรู้สึกดีได้นิดหน่อย คือถ้ามันทดแทนด้วยความสามารถการบริหารงานอันโดดเด่น ก็ยังพอจะยับยั้งคำด่าได้บางครั้ง
แต่สิ่งที่เราเห็นคือ เข้ามาเป็นรัฐบาลก็มาแบบผิดหลักการ แถมการบริหารจัดการเรื่องวัคซีนก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จนไทยแทบจะเป็นบ๊วยในอาเซียนเรื่องวัคซีนอยู่แล้ว ถามจริงๆนะ ไม่รู้สึกด้อยกว่าชาติอื่นบ้างหรอ ว่าทำไมผู้นำเขาจัดการได้ดีขนาดนั้น และคิดบ้างไหมว่า ถ้าเป็นแบบนี้เศรษฐกิจไทยจะทรุดต่อไปถึงเมื่อไหร่ และเราต้องยกการ์ดกันไปอีกนานแค่ไหน แสงสว่างข้างหน้า มองไม่เห็นเลยนะ ว่ากันตรงๆ
ในอดีต เติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำจีนเคยกล่าวไว้ว่า "ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ก็คือแมวที่ดี" แปลว่า การปกครองแบบใด หรือรัฐบาลจะมาจากไหนไม่สำคัญ ขอแค่ให้ประเทศเจริญก้าวหน้าเป็นอันใช้ได้
แต่สิ่งที่เราเห็นในประเทศไทยตอนนี้ แมวที่เรามี นอกจากจะสีไม่สวยแล้ว มันยังจับหนูไม่ได้อีกต่างหาก แล้วเมื่อเป็นแบบนี้ เราในฐานะคนไทยยังต้องให้ปลาทูมันอีกอย่างนั้นหรือ?
----------------------------------------
บทความโดย : วิศรุต สินพงศพร
#workpointTODAY
#สาระความรู้เพื่อวันนี้
ติดตาม workpointTODAY ทาง YouTube : bit.ly/2YDfyiK
.....

Thuethan Prasobchoke
April 9 at 5:10 AM ·

มีข่าวว่า น้องๆหนูๆที่ทำงานในเลาจน์ทองหล่อกลับบ้านในเทศกาลสงกรานต์ แล้วเอาโควิดไปติดคนในครอบครัว และพาครอบครัวไปกินดื่มในร้านอาหารหลายแห่ง ไปเที่ยวสถานบันเทิงหลายที่ ต้องยอมรับว่า คนที่ทำงานในคลับหรูๆพวกนี้รายได้เขาสูง พอกลับบ้านก็ไปใช้ชีวิต ไปใช้เงินที่เขาหามาได้
และมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นคนอีสานและคนเหนือ ตอนนี้ตัวเลขของโควิดจึงมาโผล่เชียงใหม่บ้าง อุดรบ้าง และคาดว่าหลังสงกรานต์จะเพิ่มขึ้นอีก
ตอนนี้อย่าไปคาดหวังกับมาตรการต่างๆของรัฐ ที่ทำงานแบบไล่ตามปัญหาไม่เคยทัน และ ไม่เคยมีใจที่จะเอาใจใส่กับความทุกข์ร้อนของประชาชน
อยู่กับโควิดอย่างปกติ แล้วทำมาหากินของเราปกติ และป้องกันตัวเอง อย่าตระหนกแต่ให้ตระหนัก โรคนี้มันไม่มีทางหายไปจากโลกนี้ แต่ทำอย่างไรเราจึงจะอยู่กับมันได้
โรคเอดส์รุนแรงและร้ายแรงกว่าโควิด ตอนแรกก็ตื่นตระหนกหวาดกลัว แต่สุดท้ายเราก็อยู่กับมันได้ ด้วยการป้องกันตัวเอง และเอดส์ก็ไม่ได้หายไปจากโลก เหมือนๆกับโรคจากเชื่อไวรัสอื่น
ส่วนคนติดโควิดก็ไม่ใช่อาชญากร เพียงแต่ต้องรับผิดชอบกับสังคม พอรู้ว่าตัวเองติดก็ให้ป้องกันไม่ให้ไปติดคนอื่น
มีวิกฤติโควิดมาอีกระลอก ถ้ามองในมุมบวก มันก็เป็นตัวชี้วัด เป็น indicator วัดให้ชาวบ้านเห็นว่า ประยุทธ์และคณะ พร้อมทั้งระบอบประยุทธ์ มันจัดการกับวิกฤตไม่ได้ แบบนี้แหละที่ผู้นำโง่จะพาเราไปตายกันหมดของจริง
ไม่ตายเพราะโควิดก็จะตายเพราะเศรษฐกิจ ถ้าคนบริหารยังเป็นประยุทธ์และระบอบประยุทธ์