อ้างโควิดเพื่อกีดและกั้นการแสดงความเห็นต่างมาตั้งแต่แรกเริ่ม กระทั่งมาถึงกระบวนศาลและราชทัณฑ์ก็ยังอ้างโควิด ห้ามเยี่ยม ห้ามปรึกษา ห้ามต้องตัวผู้ถูกคุมขัง หมายจะบีบคั้นพวกลูกๆ ที่อยู่ในคุกให้สยบยอม และพวกแม่ๆ นอกคุกตรอมใจ
ดังปรารภของ อจ. Puangthong Pawakapan “การไม่ให้ประกันคือหนึ่งในความชั่วร้ายของ ม.112 คือไม้เด็ดที่เขาไว้ใช้จัดการกับผู้ต้องหาคดี 112 เป็นการลงโทษก่อนจะถูกตัดสิน มีไว้สร้างความกลัว ทำให้เหยื่อยอมจำนน”
และ “ยิ่งเจอคำวินิจฉัยวิปริตที่ว่า ‘ยิ่งจริงยิ่งหมิ่น ไม่จริงก็ยิ่งโคตรหมิ่น’ คนธรรมดาจะเอาอะไรไปสู้กับอำนาจและกฎหมายบ้าๆ นี้ กฎหมายหมิ่นที่พูดความจริงก็ผิด มีที่ประเทศนี้ประเทศเดียวเท่านั้น นี่คือการทรมาน บีบบังคับให้เหยื่อสารภาพ”
บันทึกมากมายจากห้องพิจารณาคดี ๗๐๔ เล่าถึงความเหี้ยมเกรียมของพวกผู้คุมและความแล้งน้ำใจของตุลาการ ล้วนกระทำด้วยจุดหมายเชิดชูเสริมพระเดชและศักดาของ ‘สถาบัน’ กษัตริย์ สะท้านภาวะจิตใจแม่ของเพ็นกวิ้นที่คอยดักดูลูกถูกเข็นรถไปศาล
“แม่ได้เรียกให้หยุดรถและขอจับเท้าของเพ็นกวิ้นว่าเท้าเย็นหรือเปล่า เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์พูดเสียงดังว่าเอาตัวเข้าไปเลยไม่ต้องหยุดคุย...ตำรวจกล่าวกับญาติว่า อย่าทำให้ราชทัณฑ์ลำบากใจ” ทั้งราชทัณฑ์และตำรวจอ้างโควิด ไม่ให้แตะต้องตัวกัน
แล้วโควิดนี่แหละที่คนในรัฐบาลตั้งแต่รัฐมนตรี ส.ส. และพวกดูแลอารักขา ติดโควิดกันเป็นเบือ ตำรวจเกือบทั้ง สน.ติดเชื้อระนาวไม่พอ ตอนนี้ทหารรับการแพร่เชื้อกันฉ่ำ ลุ้นกันอยู่ว่าจะไปถึงตัวใหญ่ๆ มากน้อยเพียงใด หลังจากผู้หมวดหญิงไปรับเชื้อจากผับทองหล่อมาแจกพวกนายๆ
“ทำงาน ใกล้ชิด บิ๊กๆ ผบ.เหล่าทัพ หลายงาน และ ไปร่วมฝึก กองทัพเรือ ที่บ้านจันทน์เขลม ด้วย ทำ ทัพไทย-ทัพเรือกักตัววุ่น” Wassana Nanuam โฆษกไม่ทางการของกองทัพ แจ้งว่าร้อยโทหญิงตัวการ ตรวจพบเชื้อและแอ็ดมิทเข้ารักษา รพ.พระมงกุฏเกล้าฯ แล้ว
แต่ยังมีผู้ติดเชื้ออีกมากที่ไม่ ‘มีสี’ ไม่สามารถเข้ารับการรักษาหรือแม้แต่รับการตรวจหาเชื้อ ลือกันทั่วว่าโรงพยาบาลเอกชนปฏิเสธไม่รับคนไข้นอกเครือข่าย ว่ากันว่าเก็บเตียงไว้ให้สมาชิกประจำ เพราะตรวจเจอต้องรับรักษาแล้วเบิกคืนจากรัฐได้ไม่เต็ม
กรณีแม่อุ้มลูกอ่อน ๑๐ เดือนไข้ขึ้นสูง เที่ยวหาโรงพยาบาล ๔-๕ แห่งไม่มีที่ไหนรับรักษา ช่างน่าเศร้าสลดยิ่งนักแล้ว หรือรายที่ บก.ลายจุด@nuling ทวี้ตเล่าว่าเป็นพนักงานสถานบันเทิงย่านทองหล่อที่ติดเชื้อ อาการทรุดหายใจสั้น โรงพยาบาลบอกให้พักรักาตัวที่บ้าน
ใช่แล้ว เมืองไทยถึงขั้นนี้ดังที่มีคนบ่น ไหนจะค่าตรวจเชื้อแพงลิบลิ่ว ถุกที่สุด ๒ พัน รู้ผลในสามวัน ระดับปานกลางฟังผลในวันสองวันก็ราคา ๓-๕ พัน จะให้ฟังผลได้เร็ว ๖-๘ ชั่วโมงต้องราคา ๕,๕๐๐ บาท แล้วก็อีกแหละ ไม่รู้จักมักจี่หรือซี้ปึก ‘เตียงเต็ม’
ณ วันนี้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างเร่งรีบ อยู่ในเกณฑ์วันละพันแล้วนะ วันนี้ (๑๑ เมษา) รองโฆษกตำรวจแจ้งว่าเฉพาะใน สตช.มีตำรวจติดเชื้อแล้วทั้งสิ้น ๑๑๓ นาย ยอดติดเชื้อของประชากรทั่วไปทั้งประเทศถึงวันนี้ ๓ หมื่นเกือบ ๓ พันราย
ปัญหาลูกโซ่ต่อไปคือการไม่มีวัคซีนเพียงพอเร่งฉีด เพื่อระงับการแพร่เชื้อของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่จากอังกฤษ บี.๑.๑.๗ ตัวนี้ อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลย แค่วัคซีนฉีดแก้สายพันธุ์เดิมก็ยังมีไม่พอ หมอใหญ่สถาบันวิจัยวัคซีนตวัดลิ้นกลับไม่ทันข้ามเดือน
“ประเทศไทยเราไม่ได้ร่ำรวยที่จะจองวัคซีนเอาไว้จำนวนมากๆ ได้” นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีแพทย์ศาสตร์ศิริราช ช่วยแก้ต่างให้รัฐบาล แต่เมื่อต้นเดือนกุมภานี่เอง นพ.นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีน แก้ต่างให้รัฐบาลอีกเหมือนกันเรื่องไม่เข้าโครงการ COVAX
“การจองจะต้องมีค่าธรรมเนียมดำเนินการโดยคิดเพิ่มจากราคาวัคซีน (๒ ดอลลาร์ต่อโด๊ส)” แล้วยัง “ต้องซื้อตามราคาจริงจากผู้ผลิต โดยต้องยอมรับทุกเงื่อนไขไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งยังต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง”
สรุปว่าการประหยัดงบประมาณสำคัญกว่าการจองเอาไว้มากๆ ไม่เหมือนอเมริกาและประเทศตะวันตกที่ตอนนี้วัคซีนเหลือใช้ แต่ศูนย์กลางจักรวาลกะลาอย่างไทยซื้อที่ไหนก็ต้องจ่ายราคาเต็ม แล้วยังต้องรอคิวต่อหางแถวได้เมื่อไรก็เมื่อนั้น
รวมความว่า ‘เสียโอกาสดีกว่าเสียเชิง’ แต่ความเป็นจริงขณะนี้เสียทั้งโอกาสและเสียหน้า ที่ว่ารัฐบาลของพระสยามเทวาธิราชที่สุดแล้วประดุจดังหมาจิ้งจอกหลอกนกกระสา แพ้ภัยตนด้วยกลยุทธ์ของตัว
(https://thestandard.co/nvi-explain-why-not-joining-covax/, https://www.matichon.co.th/covid19/thai-covid19/news_2668912, https://www.facebook.com/100001454030105/posts/3994464617278633/?d=n และ https://www.matichon.co.th/covid19/news_2668860)