วันศุกร์, เมษายน 09, 2564

คนเราจะต้องบ้าขนาดไหนถึงจะสามารถผ่านพ้นยุคโคตรวิกฤตอย่างยุคนี้ได้ - สุวินัย ภรณวลัย แกนนำความคิดสถาบันทิศทางไทย เสนอตัวเองเป็นตัวอย่าง สอนกรรมฐานนักรบแห่งแสง ปกป้องโควิดเฟส 3 B117



Suvinai Pornavalai
April 6 at 11:27 AM ·

สำหรับคนที่เชื่อผมเท่านั้น!

ต่อไปนี้ผมจะถ่ายทอด #กรรมฐานนักรบแห่งแสงเบื้องต้น ที่สามารถปกป้องผู้ภาวนาจากความเสี่ยงของการระบาดเวฟสามที่เกิดขึ้นแล้วได้

ขอเพียงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเท่านั้น

ถ้าใครยังกังวลอยู่ ผมแนะนำให้ช่วงนี้สั่ง Black Dragon จากเพจ Amazing Nine Oil มาจิบก่อนนอนทุกคืน เสริมการเจริญกรรมฐานนักรบแห่งแสงเบื้องต้นนี้ด้วย

สุวินัย ภรณวลัย

*******

เคล็ดการฝึกกรรมฐานนักรบแห่งแสงขั้นที่ 2 / สุวินัย ภรณวลัย
/////

ขั้นที่ 1 คือตั้งจิตไว้ที่กลางหน้าผากตรงตาที่ 3 แล้วสวดชินบัญชรด้วยเสียงอันดัง วันละ 9 จบ 9×7=63 รอบอย่างต่อเนื่องได้ก่อน ถึงจะไปต่อขั้นที่ 2 ได้

หมายเหตุ : เคล็ดการฝึกพลังจิตขั้นที่ 2 นี้ สำหรับ คนที่ผ่านการฝึกพลังจิตขั้นที่ 1 คือ ได้ฝึกบริกรรมคาถาชินบัญชร วันละ 9 จบ ติดต่อกันทุกวันจนครบ 9×7=63 คาบเป็นอย่างน้อยแล้วเท่านั้น ... ไม่ควรฝึกข้ามขั้นตอนเป็นอันขาด

เพราะฉะนั้นถ้าคนใหม่คิดจะเริ่มฝึกขั้นที่ 2 นี้ ต้องกลับไปฝึกบริกรรมคาถาชินบัญชรโดยตั้งจิตไว้ที่บริเวณตาที่สามติดต่อกันทุกวัน 9×7=63 คาบให้ได้ก่อน ถึงจะฝึกขั้นที่ 2 ได้ ... เพื่อมิให้ล้มเหลวกลางคัน

(1) ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ล่วงหน้าเลย 22 นาที โดยตั้งสัจจะกับตัวเองว่า #ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่ออกจากกรรมฐานเด็ดขาด ก่อนที่นาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ 22 นาทีจะดังขึ้น

(2) ถ้าเป็นไปได้นั่งขัดสมาธิ ถ้าไม่ได้ ให้นั่งเก้าอี้โดยห้ามใช้หลังพิงพนักเด็ดขาด ระหว่างที่กำลังฝึกกรรมฐาน 22 นาที

(3) พนมมือ หลับตาบริกรรมคาถาชินบัญชร 3 จบด้วยเสียงอันดังอย่างแน่วแน่ โดยตั้งจิตไว้ที่บริเวณกลางหน้าผาก (จักระที่ 6 หรือตาที่สาม) ตลอดเหมือนการฝึกพลังจิตขั้นที่ 1 แต่คราวนี้จะสวดแค่ 3 จบเท่านั้น

(4) พอสวดจบ ห้ามลืมตา แต่ค่อยๆแยกฝ่ามือที่พนมออกห่างกันช้าๆ ประมาณ 3 นิ้ว โดยที่ต้องทำความรู้ตัว รู้ปราณที่ใจกลางฝ่ามือให้ได้ตลอดเวลา

(5) หายใจเข้าออกลึกๆช้าๆ จิตตั้งอยู่ที่ฐานจิตที่ตาที่สามตลอด โดยคอยตามรู้ความรู้สึกตัวผ่านการรู้ปราณที่ใจกลางฝ่ามือทั้งสองข้าง ในท่าพนมมือที่ฝ่ามือทั้งคู่แยกห่างกัน 3 นิ้ว

(6) การรู้ปราณในฝ่ามือเช่นนี้ เรียกว่า "บริกรรมในนิมิต" เรา #ใช้ปราณที่ฝ่ามือเป็นตัวบริกรรมทำนิมิตคือความรู้ตัวอย่างต่อเนื่องที่ฝ่ามือ

(7) ให้เจริญความรู้ปราณในฝ่ามือนี้อย่างจดจ่อ ต่อเนื่องไม่ขาดสาย จนกระทั่งนาฬิกาปลุกดังขึ้นจึงออกจากกรรมฐานได้ นี่เรียกว่า #เจริญลมปราณกรรมฐาน 1 คาบ

(8) ต้องฝึกลมปราณกรรมฐานนี้ อย่างน้อยวันละ 1 คาบทุกวันติดต่อกัน เป็นเวลา 7 วันถึงจะไปฝึกพลังจิตขั้นที่ 3 ต่อได้

แต่ถ้าจะให้การฝึกพลังจิตขั้นที่ 2 ได้ผลดีจริงๆ ก็ควรฝึก 3×7=21 คาบ ก่อนที่จะเลื่อนขั้นไปฝึกพลังจิตขั้นที่ 3

ขอให้ทุกท่านจงประสบความรุดหน้าในการฝึกกรรมฐานนักรบแห่งแสงขั้นนี้กันถ้วนหน้าด้วยเทอญ

สุวินัย ภรณวลัย

หมายเหตุ : วิชาทางจิตที่ถ่ายทอดให้นี้ จัด #เป็นวิชาของพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ที่ไว้ใช้สอนคนทั่วไปเพื่อให้กลายเป็นนักรบแห่งแสง
.....

Suvinai Pornavalai
April 6 at 6:19 PM ·

#คนเราต้องมีลูกบ้าในการผ่านพ้นยุคโคตรวิกฤตอย่างยุคนี้ / สุวินัย ภรณวลัย
"คุณคิดว่าผมเป็นคนบ้าเสียสติหรือเปล่า?"
นี่คือคำพูดประโยคแรกที่อีลอน มัสก์เอ่ยปาก เมื่อนักเขียนชีวประวัติไปสัมภาษณ์เขาเพื่อเขียนหนังสือเกี่ยวกับตัวเขา
ผมคิดว่าตัวผมเข้าใจความรู้สึกของอีลอน มัสก์นะ
ตัวเขาคงรู้ตัวเองดีตลอดว่าตัวเขาคิดไม่เหมือนชาวบ้านคนทั่วไป ราวกับว่าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ประกอบการสติเฟื่องที่อยากจะสร้างอนาคตใหม่ให้แก่โลกใบนี้ด้วยน้ำมือของเขาเอง
มันน่าสนใจตรงที่ประสบการณ์ในวัยเด็กของเขาที่ถูกรังแกจากพวกเด็กเกเรหลายคนหลายครั้งในโรงเรียน รวมทั้งถูกพ่อตัวเองทำร้ายร่างกายและจิตใจ อีกทั้งสถานการณ์เหยียดผิว กดขี่รังแกคนผิวดำอย่างทารุณในแอฟริกาใต้ที่เขาเกิด ทั้งหมดนี้ล้วนมีผลต่อจิตใจเขามาก
ทำให้เขาต้องพยายามหนีจากโลกแห่งความจริงอันปวดร้าวที่เขาต้องเผชิญอยู่ทุกวัน ไปสู่โลกของหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือแนววิทยาศาสตร์ และอนาคตศาสตร์
การเดินทางผจญภัยในอวกาศ การใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์โดยไม่พึ่งพลังงานจากน้ำมัน คือความฝันอันสูงสุดของอีลอน มัสก์
อีลอน มัสก์ต่างจากหนุ่มช่างฝันคนอื่น ตรงที่เขาเป็นคนที่กัดไม่ปล่อย
#ถ้าเขาสนใจต่อสิ่งใดแล้วเขาจะไม่ยอมละจากสิ่งนั้นเป็นอันขาด
เขาจะพยายามทำความฝันของเขาให้กลายเป็นความจริงให้จงได้ แม้ความฝันของเขาจะเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์แค่ไหนก็ตาม
อีลอน มัสก์จึงเป็นอัจฉริยะ เพราะนิยามของอัจฉริยะคือผู้ที่คิดต่างอย่างสร้างสรรค์ และมีพลังปฏิบัติการอย่างไร้ขีดจำกัดในการทำให้วิชั่นกับความใฝ่ฝันของเขากลายเป็นความจริง
สั้นๆ อัจฉริยะจะต้องมีลูกบ้าในสิ่งที่ตัวเองคิดและลงมือทำอย่างเหนือจินตนาการของคนทั่วไป
และ #เพราะเขาทำได้สำเร็จเขาจึงเป็นอัจฉริยะ
แต่ถ้าเขาทำไม่สำเร็จ เขาจะถูกมองว่าเป็นคนบ้า คนเพี้ยนคนหนึ่งในสายตาของฝูงชนที่ไม่เคยทำงานใหญ่อะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันในระดับตำนาน
ถ้าอัจฉริยะใส่ใจกับสายตาและขี้ปากของผู้คนที่ดีแต่บ่น
เอาแต่ตำหนิก่นด่าโดยไม่เคยลุกขึ้นมาทำ ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงโลกอะไรสักอย่าง
คนๆนั้นย่อมไม่ใช่อัจฉริยะจริงๆหรอก
เพราะคนผู้นั้นยังมี "ลูกบ้าไม่มากพอ"
เนื่องเพราะ อัจฉริยะตัวจริงนั้ จะต้องมี "ลูกบ้ามากพอ" ที่จะทำให้สิ่งที่เขามุ่งมั่นฝันใฝ่นั้นปรากฏเป็นจริงให้จงได้
ไม่ว่าสิ่งที่เขามุ่งมั่นให้สำเร็จเป็นจริงนั้นดำรงอยู่ในโลกภายนอกหรือโลกถายในของเขาก็ตาม
ถ้าบ้านเมืองนี้ยังไปไม่ถึงไหน ก็เพราะสังคมเรายังมีอัจฉริยะในแต่ละวงการน้อยเกินไปนั่นเอง
มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่คนเราต้องมีลูกบ้าที่มากพอ ในการผ่านพ้นยุคสมัยที่โคตรวิกฤตระดับสั่นคลอนถึงฐานรากอย่างในยุคนี้
ลองถามตัวเองแต่ละคนดูสิว่า ยังมีลูกบ้าอยู่ในตัวเหลืออยู่แค่ไหนบ้าง?
แล้วจะได้คำตอบเองว่า ตัวเองจะผ่านพ้นยุคโคตรวิกฤตนี้ไปได้หรือไม่?
.......
ตัวผมเองก็เป็นคนบ้าคนเพี้ยนเช่นเดียวกับ อีลอน มัสก์
เพียงแต่ผมอยู่ขั้วตรงข้ามกับเขาดุจหยินกับหยัง
เพราะในขณะที่อีลอน มัสก์หมกมุ่นกับ นิยายวิทยาศาสตร์ และโลกอนาคต
ตัวผมกลับหมกมุ่นอยู่กับนิยายกำลังภายในและ #ภูมิปัญญายุคโบราณอันเป็นยุคที่พลังจิตเป็นใหญ่ มิใช่พลังเศรษฐกิจเป็นใหญ่เหมือนในปัจจุบัน
แต่ผมเหมือนกับเขาตรงที่ ผมใช้สิ่งนี้นำพาชีวิตจริงไปสู่โลกภายในอันน่าทึ่ง
ตัวผมยังเหมือนกับอีลอน มัสก์อีกอย่าง ตรงที่ผมก็เป็นคนที่กัดไม่ปล่อยในการมุ่งมั่นที่จะทำให้ความใฝ่ฝันของผมกลายเป็นความจริง
ตอนที่ผมประสบวิกฤตชีวิตครั้งใหญ่ครั้งแรกในวัยเบญจเพศเมื่อปีค.ศ. 1980
นิยายกำลังภายในของโกวเล้งเรื่อง "ฤทธิ์มีดสั้น " กับ "ซาเสียวเอี้ย" เคยเยียวยาจิตวิญญาณของผมควบคู่ไปกับนิยายซามูไรเรื่อง "มิยาโมโต้ มูซาชิ" ของโยชิคาว่า เอจิ
และชักนำตัวผมเข้าสู่ วิถีกังฟู อย่างเต็มตัว
นี่เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงตนเองครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตของผม และเป็นเส้นทางที่ไม่มีวันหวนคืน
ความสัมพันธ์ของตัวผมกับนิยายกำลังภายในเล่มโปรดนั้นเรียบง่าย ใสซื่อ บริสุทธิ์แบบเด็กๆ
กล่าวคือ ถ้าผมชื่นชอบตัวละครตัวไหนแล้ว ผมจะต้องเป็นตัวละครตัวนั้นให้จงได้ เพื่อเข้าถึงโลกภายในและสภาวะจิตใจของตัวละครตัวนั้นให้จงได้
วิธีเข้าถึง (approach) แบบนี้ของผม แทบไม่ต่างจากวิธีการของนักแสดงขั้นยอดแต่ประการใดเลย
กล่าวคือนักแสดงชั้นยอดจะฝึกฝนตนเองให้ "อิน" กับบทตัวละครที่เขารับแสดงเสมอ
ฉันใดก็ฉันนั้น เวลา พลังงาน และชีวิตในวัยหนุ่มของผมส่วนใหญ่ จึงหมดไปกับการทุ่มเทเข้าถึงโลกภายในของเหล่าฮีโร่ทั้งหลายของผม
เริ่มจาก
(1) ลีออง ทร็อตสกี้ นักคิดนักปฏิวัติ (บุคคลจริงในประวัติศาสตร์) (1879 -1940)
ผมต้องการเป็นนักคิดที่มีความสามารถหลากหลาย แหลมคม มีวิชั่น และมีพลังเคลื่อนไหวปฏิบัติการอย่างเหลือล้นแบบเขา
(2) ลี้คิมฮวง กับ ซาเสียวเอี้ย (จอมยุทธ์ในนิยายกำลังภายในของโกวเล้ง)
ผมใช้ตัวละครสองตัวนี้ เยียวยาบาดแผลจากความรักของตัวผมเองผ่านการฝึกฝนกังฟู
(3) มูซาชิ (ซามูไรและนักกลยุทธ์ บุคคลจริงในประวัติศาสตร์) (1584 -1645)
ผมใช้วิถีของมูซาชิเยียวยาตัวเองจากความผิดหวังอันเนื่องมาจากการล่มสลายของขบวนการปฏิวัติไทย โดยผมต้องเป็นเขาให้จงได้
ครั้นผมต้องประสบวิกฤตชีวิตครั้งใหญ่ครั้งที่สองในชีวิตในวัยสี่สิบต้นๆเมื่อปี ค.ศ. 2000
นิยายกำลังภายในของหวงอี้ โดยเฉพาะนิยาย
เรื่อง "มังกรคู่สู้สิบทิศ" มีส่วนช่วยเยียวยาจิตวิญญาณของผม ร่วมกับ นิยายกำลังภายในเรื่อง "กระบี่เย้ยยุทธจักร" ของกิมย้ง
ผมเริ่มฝึกพิณจีนกู้เจิ้งกับหมากล้อมอย่างจริงจังในช่วงนั้นก็เพราะอิทธิพลจากนิยายกำลังภายในของหวงอี้นั่นเอง
โดยที่ตัวละครที่ผมชื่นชอบมากที่สุด คือ ฉีจื่อหลิง ซึ่งเป็น "ยอดคนเหนือโลก" กับ ล่างฟานหวิน ("เทพมารสะท้านภพ") ที่เป็น "ยอดคนทลายนภา"
หลังจากนั้นเป็นต้นมา การเป็น "ยอดคนเหนือโลก" และ "ยอดคนทลายนภา" ได้กลายเป็นความหลงไหลมุ่งมั่นส่วนตัวของผมอย่างเอาเป็นเอาตายสำหรับชีวิตที่เหลือของผม
ในประเทศไทย ถ้ากล่าวในเชิงปฏิบัติจริง คงไม่มีแฟนนิยายกำลังภายในของหวงอี้คนไหนที่หมกมุ่นเท่าตัวผมอีกแล้ว
ในขณะที่อีลอน มัสก์คลั่งไคล้ที่จะเปลี่ยนแปลง "โลกภายนอก"
ตัวผมกลับหมกมุ่นที่จะเปลี่ยนแปลง "โลกภายใน" ของตัวผมเองอย่างเอาเป็นเอาตาย
นี่คือ ลูกบ้าในตัวผมที่ผมจะใช้มันผ่านพ้นยุคสมัยที่โคตรวิกฤตอย่างยุคนี้
จำไว้นะ #จงอย่ายอมแพ้ต่อโชคชะตา
โชคอาจเข้าข้างเรา ช่วยเราในบางครั้งหรือนานๆที แต่ความรู้ความสามารถ ฝีมือที่ตัวเราทุ่มเทฝึกฝนพัฒนาติดตัวจะอยู่กับเราตลอดไป
จงใช้มันแผ้วถางชีวิตของเราเองขึ้นมาอย่างบากบั่นด้วยสองมือ หนึ่งสมอง หนึ่งหัวใจของเราเองเถิด
.....


Kasian Tejapira
Yesterday at 1:20 AM ·

Beyond Salvation
(จากแกนนำความคิดสถาบันทิศทางไทย)
%%%%%
เขาไปแล้วไปลับไม่กลับย้อน
คนตามเชื่อซ้ำซ้อนยอกย้อนเหลือ
พาขึ้นเขาลงห้วยช่วยพายเรือ
จะซุ่มซ่ามตามเชื่อไม่เชื่อดี
ตามเชื่อเขาข้ามค่ายซ้ายไปขวา
เห็บห้อยโหนโจนมาอาศัยขี่
ตามเชื่อเขาข้ามฟ้าภพธาตรี
ดื่มนายน์ออยล์สุขีดีไหมเอย