“แล้วจะให้กูทำยังไงวะ” เป็นวลีใหม่สำหรับปี ๒๕๕๙ สัญญลักษณ์แปะหน้าผากรัฐบาล คสช.
ที่หัวหน้า ‘ตู่’ แถลงเรื่องยางราคาตกล่าสุดแล้วปิดท้ายว่า “ไม่โมโห นี่ไม่ได้โมโห” ซึ่งเราเชื่อ
ดูจากประมวล วลีขี้ยั๊ว-ถ้อยสบถ ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประชาไทเขารวบรวมไว้นับไม่ถ้วน ก็ประมาณได้ว่า มันคือบุคคลิกภาพธรรมดาๆ ของทั่นเอง ไม่กร่าง ไม่กร้าวร้าว แค่ ‘bi-polar’
(ดูรายละเอียดตอบนักข่าวเรื่องราคายางที่นี่http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx…
ส่วนอาการ ‘loud & fuzz’ (ล้งเล้ง แล ฉุนจัด) จากนี่ ‘ป้าลุงยังจำได้ไหม : ส่องประยุทธ์เคยประกาศจัดการอารมณ์ตัวเองมากี่ครั้ง’http://prachatai.org/journal/2016/01/63264)
ที่จริงเป็นการระบายความอัดอั้นที่ทำงานไม่สำเร็จเสียมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องยางนี่คุยโวกันมาแต่ต้น (พี่ใหญ่ ป.โป๊ย น่ะตัวดี) ง่ายนิดเดียว เดี๋ยวจัดให้ ๘๐ บาท ผ่านมาหนึ่งปี ๘๐ ซื้อได้สี่โลยังขายไม่ออก
ดูแล้วสิ่งที่รัฐบาล คสช. พยายามทำเพื่อให้สอบผ่านด้านรัฐกิจ คิดจะแก้โน่น กวนนี่ ทำทีไอเดียเยอะ ต้องใช้เวลาถึง ๒๐ ปี นั่นกลับเป็น polarization จับจรด ขาดการจดจ่อ จะเอาหมดทุกอย่างแต่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
นี่ก็ออกมาใหม่ ไอเดียเจ๋ง ‘หนึ่งตำบล หนึ่งเอสเอ็มอี’ แต่หลายคนเห็นแล้วบอกว่า ‘เซม เซม’ บางคนบอก ‘copy & paste’
แนวคิดเรื่องนี้ก็คือ “ส่งเสริมการสร้างผู้ประกอบการเทคโนโลยีใหม่ (Tech Startup)” โดย “นำภาคเกษตรเข้าสู่ระบบนี้"
“เพราะเป็นหนึ่งในแนวทางการปฏิรูปประเทศให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งมีแผนที่จะดำเนินการให้ได้ภายในปีนี้”
ตายละซี เขาเอาจริง อย่างนี้มิต้องตกระกำรอเกินยี่สิบปีเหรอ
เพราะ startup enterprises ที่เฟื่องฟูในยุโรปตะวันตก และกำลังมาแรงในสหรัฐนั้น มันมีพื้นฐานอยู่ที่นวัตกรรมและการผลิตเสริมอุตสาหกรรมหลักมาก่อน มันเป็นการเจริญเติบโตแตกหน่อจากอุตสาหกรรมหนัก ที่ประเทศไทยยังไม่มี มีแต่ระดับ manufacturing รับจ้างผลิตส่งนอกที่กำลังจะ ‘ตายหยังเขียด’ เพราะนายจ้างพากันหันไปหาเพื่อนบ้านอย่างเวียตนาม และลาว (เยส ลาว)
ทั้งที่ปัญหาในการฟื้นเศรษฐกิจเฉพาะหน้าอยู่ที่รักษาระดับการส่งออก และเพิ่มปริมาณการท่องเที่ยว ไม่ใช่เป็นแหล่งทดลองใช้เรือดำน้ำรุ่นใหม่ ‘ไชน่าผลิตเอง’ หรือไปลงทุนเขตเศรษฐกิจพิเศษไซบีเรีย ไม่ใช่ตีหน้าตายบิดพริ้วกระบวนยุติธรรม เสียจนมีการรณรงค์ต้านจากนอกประเทศอย่างหักโหม
ยามร้ายเข้าอีก ธนาคารโลกเพิ่งเขียน report card ยื่นให้ “Thailand’s economy to remain on the intensive care list, contracting by 20 per cent from a 2015 Thailand GDP of 2.5* per cent to just 2.0 per cent this year...”
(http://aecnewstoday.com/…/thailand-weakest-asean-economy-…/…)
ถอดความได้ว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยจะยังคงอยู่ในห้องไอซียูตลอดปีนี้ อัตราการเติบโตของมูลภัณฑ์ในประเทศลดลงกว่าเดิม ๒๐ เปอร์เซ็นต์ จาก ๒.๕ เหลือ ๒.๐ ไม่มีประเทศในอาเซียนแห่งไหนลงได้ขนาดนี้แล้ว
(สำหรับรายละเอียดมากกว่านี้ภาษาไทย หากขี้เกียจอ่านรายงานอังกฤษ ไปที่ว้อยซ์ทีวี http://news.voicetv.co.th/world/310638.html)
ทั้งหลายเหล่านี้ ที่จ้ำจี้จ้ำไชมา เพียงแค่อยากเรียนให้ทราบว่า วิธีออกอาการหันหุนฉุนเฉียวกลบเกลื่อนไม่ให้ประชามองหาน้ำยาน่ะ ใช้ไม่ได้ผลหรอกนะ
ยิ่งอ้างว่าเข้ามาเพื่อห้ามทัพ ให้เกิดการปรองดอง ยิ่ง ‘ดีแต่ปาก’ อย่างที่ใครๆ เขาว่า ปรองดองไปถึงไหนไม่ทราบ แม่น้องเกด พ่อน้องเฌอ ก็ยังต้องจัดกิจกรรมรำลึกวิญญานลูกที่วัดปทุมอยู่อีก แถมมีตำรวจไปกีดกันไม่ให้จัดเสียด้วย
ซ้ำดั้มพลอย ปล่อยให้ ‘สุวิทย์อิสระ’ จุ้นจ้านการเมืองในศาสนจักร หอบรายชื่อสามแสนมอบหมายหม่อมปนัดดา คัดค้านการแต่งตั้งสังฆราชองค์ใหม่ ด้วยเหตุผลเพียง “เป็นผู้ที่เกี่ยวพันกับธัมชโย เพราะถ้าได้ดำรงตำแหน่งก็อาจจะปกป้องพวกพ้อง”
(http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1452483980)
โอมายก๊อด พระเจ้าจ๊อดได้โปรดเถอะ ผู้ใช้นาม ‘พุทธะอิสระ’ คนนี้กำลังสร้างความปั่นป่วนแก่ชุมชนชาติ ด้วยการโหมกระพือไฟสงครามระหว่างนิกาย ในลักษณะเดียวกับที่มุสลิมซุนนิห้ำหั่นกับชีอ๊ะห์ รู้ไหม
ร่ายมาพอประมาณเพราะมีเรื่องให้ต้องท้าวความมากอยู่ ที่จริงเพียงจะบ่นว่า ไม่ได้ตั้งแง่กับพวกนักรัฐประหาร ที่ทั่นประธานบอร์ดยางคนใหม่บอกว่า โรงเรียนตะหานสอนวิชาบริหารรัฐกิจเหมือนกันน่ะ กระผมไม่ติดใจ
แต่ที่รำคาญว่าเรื่องง่ายๆ พื้นฐานไม่ค่อยคิดจัดการกันเท่าไหร่ มองหาแต่โครงการใหญ่วิลิดสะมาหรา พอทำไม่ได้ก็ ‘ยั๊ว’
ยกตัวอย่างนะนี่ กรณีย้ายหมอชิตไปรังสิต (ชื่อก็บอกอยู่แล้ว หมอชิตก็ควรอยู่หมอชิต จะไปอยู่รังสิต จตุจักร ตลิ่งชัน กระไรอยู่) อ้างเหตุว่าที่เก่าแออัด แต่ถ้าเมืองขยายไม่หยุดหย่อนตามธรรมชาติ อีกหน่อยก็ต้องย้ายไปวังน้อยจนได้
ไหนๆ พวกทั่นๆ ก็คิดจะอยู่ยาวกันแระ ทำอะไรให้มันพออยู่ได้ไม่ดีกว่าหรือ (ขออภัย ไม่ได้ตั้งใจแย้ง Thanapol Eawsakul หรอกนะ ที่ว่า “ยังนึกเหตุผลไม่ออกเลยว่า ใครที่ว่าระบอบรัฐประหารจะอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ” แต่หน้าเสื่อมันอย่างนั้น)
ดร.โสภณ พรโชคชัย เขาแจงว่า “ย้ายหมอชิตไปรังสิต คิดผิดเห็นๆ” และ “คัดค้านการย้ายหมอชิตไปรังสิต เพราะเป็นการเพิ่มภาระการเดินทางแก่ประชาชน ทั่วโลกเน้นให้ขนส่งผู้โดยสารเข้าถึงใจกลางเมือง”
ดร. โสภณ ยกตัวอย่าง “Port Authority Bus Terminal และหัวลำโพงของนครนิวยอร์ก (Penn Station) ก็ตั้งอยู่ใกล้กันในย่านใจกลางเมืองบนเกาะแมนฮัตตัน หรือในกรณีกรุงลอนดอน บขส. ก็อยู่ใกล้พระราชวังบักกิงแฮมเลย ชื่อ Victoria Coach Station”
(https://www.facebook.com/dr.sopon4)
เราแค่เสริมว่า Union Station ของนครลอส แองเจลีส ก็เป็น Transit hub สำหรับการขนส่งมวลชนเกือบครบวงจรที่อยู่ใจกลาง downtown L.A. เหมือนกัน
มีทั้งสถานีรถไฟ (Amtrax) รถด่วนดีเซล (Metro Link) รถเมล์ประจำทาง สับเวย์ (Metro Lines) Light Rails รถบัสเชื่อมต่างเมือง จะไปลาสเวกัส ซานฟรานซิสโก ซานดิเอโก้ ขึ้นได้ที่นี่ แล้วยังมีรถบัสวิ่งตรงไปสนามบิน แอลเอเอ็กซ์ ด้วย
ความคิดอย่างนี้ควรที่จะเงี่ยฟังเสียบ้าง จะปิ๊งไม่ปิ๊ง ฟังเสียก่อนแล้วค่อยเถียง อย่าปล่อยให้เกิดกังขาแบบว่า
“ยิ่งควรที่จะมีการตรวจสอบเรื่องความโปร่งใส รวมทั้งควรมีการว่าจ้างประเมินค่าทรัพย์สินให้ถูกต้องก่อนที่จะตัดสินใจทำธุรกิจซื้อที่ดินแปลงใดเพื่อการพัฒนา”
เนื่องจากปรากฏว่างานนี้มีเสียงพูดเรื่อง หวยไปออกที่ ‘ไทยเมล่อน’ ที่ดิน ‘ไพรม์’ ของกลุ่มเซ็นทรัล เป็นต้น
(http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1436761582)