วันพุธ, ธันวาคม 31, 2557

"คืนความสุข" จนพูดไม่ออก


โดยทีมเศรษฐกิจ
ไทยรัฐออนไลน์
31 ธ.ค. 2557

เมื่อรัฐบาล คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ที่นำโดย “ลุงนายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาสาเข้ามาบริหารประเทศ

นโยบายหลักสำคัญคือ ตั้งใจคืนความสุขให้คนในชาติ

โดยตลอดเวลานับแต่ คสช.จนมีรัฐบาล ดูเหมือนลุงตู่ได้ตั้งใจมุ่งมั่นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

ดูเหมือนหลายเรื่องก็ทำได้ตามที่ประกาศไว้ นั่นคือ “คืนความสุข” ให้ประชาชน

แต่อีกหลายเรื่องดันกลับกลายเป็นการคืน “ความทุกข์” ไปเสียฉิบ!!!

ลอตเตอรี่ยังแพงเว่อร์

หนึ่งในนโยบายสำคัญที่ คสช.ตั้งใจย้ำคืนความสุข หวังโดนใจชาวประชา ก็คือ การจัดการปัญหาราคาขายปลีกสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ลอตเตอรี่”

เพราะที่ผ่านมาขายกันแพงระห่ำเกินจริง นั่นคือราคาคู่ละ 80 บาท หรือฉบับละ 40 บาท แต่ที่ขายทั่วไปตกคู่ละ 110-120 บาท

ดังนั้นพอเกิด คสช.ขึ้นมา สิ่งแรกที่ท่านผู้นำมีนโยบายแน่ชัด ได้แก่จัดการปัญหาลอตเตอรี่แพง เพราะเห็นว่าคนไทยชอบเสี่ยงโชคกันทั้งประเทศ หากทำได้จริงจะได้คำชื่นชมกันเซ็งแซ่แน่

ถึงขนาดเปลี่ยนประธานบอร์ดสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลคนใหม่ ให้ “สมชัย สัจจพงษ์” อธิบดีกรมศุลกากรคนใหม่มานั่งแป้นแล้นตำแหน่งนี้

แต่เรื่องนี้ไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วย เพราะทำได้แค่วันแรกๆที่ คสช.ขู่ฟ่อ จากนั้นจนถึงวันนี้ลอตเตอรี่ก็ยังแพงเว่อร์คู่ละ 110-120 บาทเหมือนเดิม

กลายเป็นหนึ่งในผลงานหน้าแตกหมอไม่รับเย็บของ คสช.!!

ไฟเขียวขึ้นค่าแท็กซี่

ทั้งที่หนึ่งในคำขวัญสำคัญของ คสช. คือ “คืนความสุขให้ประชาชน” ถึงขนาดท่านผู้นำลงทุนแต่งเพลง “คืนความสุขให้ประเทศไทย” ซึ่งในเนื้อเพลงก็ย้ำนักย้ำหนาว่าจะ “คืนความสุขให้ประชาชน”

แต่สุดท้ายชาวประชาก็พากันอึ้งกิมกี่ เพราะรัฐบาลลุงนายกฯตู่กลับไฟเขียวขึ้นค่าโดยสารแท็กซี่ไปซะงั้น

กลายเป็นรายการจัดโปรโมชั่น “ส่งความสุขให้แท็กซี่ คืนความทุกข์ให้ชาวบ้าน”

เพราะแทนที่จะจี้ไล่เฉ่งสารพันปัญหาแท็กซี่ที่สร้างความอึดอัดหาวเรอให้แก่ประชาชนไทย ทั้งเรื่องปัญหาความปลอดภัยของผู้โดยสาร และการไม่ยอมรับผู้โดยสาร ด้วยข้ออ้าง “แก๊สหมด” “ต้องรีบส่งกะ”

แต่จู่ๆรัฐบาล คสช.ก็ใจดีสุดกู่ รีบไฟเขียวขึ้นค่าโดยสารแท็กซี่อีก กม.ละ 0.50-1.50 บาท (ยกเว้นระยะทาง 1 กม.แรกยังคงไว้เท่าเดิม 35 บาท) ส่วนช่วงรถติดเพิ่มเป็นนาทีละ 2 บาท

บร๊ะเจ้า!!

ขึ้นราคาโทลล์เวย์พรวด

ไม่รู้เป็นเพราะท่อนฮุกเพลง “คืนความสุขให้ประชาชน” หรือเปล่า ที่ว่า “...เราจะทำตามสัญญา...”

ทำให้รัฐบาล คสช.ใจดียอมให้บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด ผู้รับสัมปทานโครงการทางยกระดับอุตราภิมุข หรือดอนเมืองโทลล์เวย์ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่า “โทลล์เวย์” ได้ขึ้นค่าผ่านทางอีก 5-15 บาท

เริ่มตั้งแต่เวลา 00.01 น.ของวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา

อ้างว่าต้องทำตามสัญญาที่ทำไว้นานแล้ว

ส่งผลให้ค่าผ่านทางโทลล์เวย์ที่แพงอยู่แล้ว ยิ่งแพงลิบลิ่วมากขึ้นไปอีก

โดยรถสี่ล้อต้องจ่ายเพิ่มจาก 85 บาท เป็น 100 บาท ขณะที่รถมากกว่าสี่ล้อ เดิมต้องจ่าย 125 บาท เป็น 140 บาททันที

ทำเอาคนไทยบ่นพึมว่านี่เป็นการ “คืนความจุก (อก)” มากกว่ามั้ง!!

สุดมึนรัฐขึ้นราคาก๊าซ

หลังจากซื้อเวลามาหลายรัฐบาล ในเรื่องการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ในที่สุดรัฐบาลของลุงนายกฯตู่ได้ทลายกำแพงแห่งความกลัวม็อบ ด้วยการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ในทุกกลุ่มผู้ใช้

ประกอบด้วย กลุ่มครัวเรือน กลุ่มขนส่ง และภาคอุตสาหกรรม

โดยล่าสุดเมื่อกลางเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีลุงนายกฯตู่นั่งหัวโต๊ะ ก็ปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซแอลพีจีทั้ง 3 กลุ่มขึ้นพร้อมๆกัน ภายใต้สูตรราคาเดียวกัน คือ 26.14 บาทต่อกิโลกรัม (กก.)

จากที่ก่อนหน้านี้ ประเทศไทยมีการแยกกลุ่มผู้ใช้เป็น 3 ราคา โดยภาคครัวเรือนมีราคาถูกที่สุด

รัฐบาลบอกว่าที่ทำเนี่ยก็เพื่อปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้เกิดความเป็นธรรมและเป็นไปตามความจริง

ดังนั้น นับแต่นี้จะไม่มีอีกแล้วที่ราคาก๊าซหุงต้มจะต่ำเตี้ยแบบสมัยก่อน

นี่ยังโชคดีที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกเป็นขาลง

ไม่เช่นนั้นเราท่านคงได้เห็นราคาน้ำมันแพงกระชากใจในยุครัฐบาล คสช.!!!

เล็งขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 10%

อาจเป็นเพราะนามสกุลของ “ขุนคลัง” รัฐบาลลุงนายกฯตู่ คือ “ภาษี”

ทำให้คุณสมหมาย ภาษี รมว.คลัง จึงมีนโยบายแน่ชัดในเรื่องเกี่ยวกับภาษีหลากหลายรูปแบบ

แต่ที่เรียกเสียงฮือฮาทั่วไทย ก็คือ ทั่นรัฐมนตรีสมหมายประกาศจะปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จากปัจจุบันที่จัดเก็บอยู่ในอัตรา 7% ขึ้นไปเป็น 10% เพื่อนำรายได้จากการขึ้นภาษีแวตไปพัฒนาประเทศ

โดยเจ้าตัวบอกว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องขึ้นภาษีแวต เพราะทุกๆหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่ม

จะทำให้รายได้รัฐบาลเพิ่มขึ้น 100,000 ล้านบาท (1 แสนล้านบาท)

ดังนั้น หากขึ้นแวตจาก 7% เป็น 10% รายได้ของรัฐก็จะเพิ่มขึ้นทันที 300,000 ล้านบาท

แต่พอข่าวออกได้แค่วันเดียว รัฐมนตรีสมหมายก็ต้องหน้าจ๋อย

ลุงนายกฯตู่รีบสวนว่าเรื่องขึ้นภาษีแวตเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของขุนคลัง ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล

เพราะขืนรัฐบาลเผลอไฟเขียวตามข้อเสนอของ รมว.คลัง มีหวังพังกันเป็นแถบ!!!

เศรษฐีไทยใจว้าวุ่นภาษีมรดก

อีกหนึ่งภาษีที่ทั่นรัฐมนตรีสมหมาย ภาษี ตั้งใจเข็นเพื่อเป็นโบแดงของรัฐบาลนี้

ก็คือการจัดเก็บภาษีมรดก

เพื่อต้องการสร้างความเป็นธรรมให้แก่คนในสังคม และยังหวังเป็นการลดช่องว่างระหว่างความรวยกับความจน ที่สำคัญยังจะทำให้รัฐได้รายได้เพิ่มขึ้นมาอีก

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไม่ว่ากี่รัฐบาลก็ไม่กล้าแตะเรื่องภาษีมรดก เพราะ “หยิกเล็บ ก็เจ็บเนื้อ” เนื่องจากเป็นภาษีที่จะสร้างผลกระทบให้แก่บรรดาคนรวยๆทั้งหลาย ซึ่งก็ล้วนแต่อยู่ในคณะรัฐบาลหรืออยู่เบื้องหลังของทุกคณะรัฐบาล

อย่างไรก็ดี ในทันทีที่มีการจัดตั้งรัฐบาล คสช. นโยบาย “ภาษีมรดก” ได้ถูกผลักดันอีกครั้ง

โดยเมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีจึงเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก แถมล่าสุดได้ผ่านวาระแรกของ สนช. (สภานิติบัญญัติแห่งชาติ)

หลับตาก็รู้ว่า พ.ร.บ.นี้ใช้เมื่อไร ก็กลายเป็นรายการ “คืนความทุกข์” ให้เหล่าเศรษฐีไทย!!

ภาษีที่ดินฝันร้ายราชาที่ดิน

ควบคู่ไปกับการเก็บภาษี “มรดก” ก็คือ การเก็บภาษี “ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง”

โดยนอกจากเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่รัฐแล้ว ยังเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่สังคม เพราะช่วยลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน

สำหรับเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ถือเป็นหนึ่งในความใฝ่ฝันมายาวนานของทั่นรัฐมนตรี

สมหมาย ภาษี ที่ตั้งใจให้ประเทศไทยได้มีการบังคับใช้เรื่องนี้เสียที

แม้แรกๆจะถูกคัดค้านจากหลายฝ่าย แต่ภายหลังกระทรวงการคลังยอมปรับอัตราจัดเก็บให้เบาขึ้น เรียกว่าจ่ายน้อยกว่าภาษีป้ายรถยนต์ประจำปีเสียอีก ทำให้แรงต้านกฎหมายนี้แผ่วลง

จนดูเหมือนว่ากฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างน่าจะประกาศใช้ได้ทันรัฐบาลนี้

สร้างฝันร้ายให้แก่บรรดาราชาที่ดิน!!

ลุยเก็บภาษีแม่ค้าออนไลน์

เพื่อขานรับกับนามสกุลของทั่นรัฐมนตรีกระทรวงคลัง และเพื่อเพิ่มรายได้ในการจัดเก็บภาษีมากขึ้น

“ประสงค์ พูนธเนศ” อธิบดีกรมสรรพากร จึงปิ๊งไอเดียเพิ่มช่องทางการจัดเก็บภาษีธุรกิจใหม่ที่กำลังมาแรงรับยุค 4 จี

นั่นคือ การจัดเก็บภาษีธุรกิจที่ซื้อขายกันในโลกออนไลน์ หรือ “อี-คอมเมิร์ซ”

กรมสรรพากรเห็นว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจการซื้อขายสินค้าบนเว็บไซต์ หรือที่เรียกกันติดปากว่าอี-คอมเมิร์ซ ได้รับความสนใจจากคนไทยเป็นจำนวนมาก เพราะนอกจากจะซื้อง่าย-ขายคล่องแล้ว

การนำสินค้าไปวางขายไว้บนหน้าจอเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก หรืออินสตาแกรม (ไอจี) ก็เท่ากับเป็นการเปิดโลกการตลาดที่สามารถสั่งซื้อขายสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ธุรกิจนี้เติบโตพุ่งกระชากใจ จนมูลค่าการซื้อขายจากเพียงไม่กี่ล้านบาทพุ่งทะลุเป็นเลขหลักแสนล้านบาท

กรมสรรพากรจึงได้ประกาศลุยเก็บภาษี “อี-คอมเมิร์ซ” ไม่ว่าจะรายเล็กหรือใหญ่ โดยตั้งใจจะกวาดให้เรียบ

งานนี้เล่นเอาบรรดาพ่อค้าแม่ค้าโลกออนไลน์พากันเซ็งเป็ด!!

4 จีเอไอเอสสะดุดกึก

ด้วยคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 17 ก.ค.2557 ที่ให้ชะลอการประมูลคลื่นความถี่เพื่อกิจการโทรคมนาคมออกไปเป็นระยะเวลา 1 ปี

กลายเป็นคำสั่งสร้างความอึดอัดหาวเรอให้แก่บริษัทโทรคมนาคมยักษ์เบอร์ 1 แห่งประเทศไทย บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ไปแบบเต็มๆ

เนื่องจากเอไอเอสที่มีฐานลูกค้าอยู่ทั้งสิ้นเกือบ 44 ล้านเลขหมาย ณ สิ้นสุดไตรมาส 3 ของปี 2557 และครองส่วนแบ่งรายได้สูงสุดที่ 53% กำลังมีปัญหากับปริมาณคลื่นความถี่ที่ให้บริการลูกค้ากลุ่มใหญ่นี้

เพราะยิ่งลูกค้านิยมใช้อินเตอร์เน็ตส่งข้อมูลมากเท่าไร คลื่นความถี่ก็จะถูกใช้หนาแน่นมากขึ้น

สถานการณ์ของเอไอเอส ในฐานะผู้ให้บริการรายใหญ่แต่มีคลื่นความถี่จำนวนน้อยที่สุดย่อมกำลังเสียเปรียบคู่แข่งทุกประตู ที่สำคัญสัมปทานบนคลื่น 900 MHz ที่เอไอเอสได้สิทธิให้บริการ 2 จีอยู่ 17 MHz ก็กำลังจะสิ้นสุดสัญญาลงในเดือน ก.ย.2558 แทนที่จะได้คลื่นใหม่มาให้บริการกลับถูกเลื่อนออกไปอีก

กว่าจะได้เริ่มต้นประมูลกัน ก็ต้องรอครบ 1 ปี หรือเลย 17 ก.ค.2558 ไปแล้ว ทำเอาเอไอเอสมึนตึ้บ

ก็ไหนรัฐบาลบอกจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิตอล!!

เศรษฐกิจตกสะเก็ด

ตั้งแต่วันแรกที่รัฐบาลลุงตู่เข้ามาบริหารประเทศ ภารกิจแรกๆที่ตั้งใจจะเร่งดำเนินการคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจไทยปีนี้ ซึ่งซบเซามาต่อเนื่องในช่วงที่การเมืองมีความรุนแรงให้กลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง

เห็นได้จากการเร่งจ่ายเงินรับจำนำข้าวที่ค้างอยู่ 1.3 แสนล้านบาทให้กับชาวนาอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ยังตั้งรัฐบาลไม่เสร็จสิ้น

ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลลุงนายกฯตู่ ซึ่งนำโดย “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และขุนคลัง สมหมาย ภาษี ตั้งเป้าว่าเศรษฐกิจปีนี้อย่างน้อยๆ ก็ต้องโตได้ 2% ขึ้นไป

โดยได้ออกมาตรการสารพัดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาหวังให้ “เงินใหม่” เข้าไปหมุนเศรษฐกิจไทยให้วิ่งจี๋

แต่ไปๆมาๆ ในทางปฏิบัติ ปรากฏว่าเงินรัฐกลับไหลไม่ออก เหมือนใครไปปิดก๊อกน้ำ ทำให้เงินงบประมาณที่ตั้งใจไว้ว่าจะเบิกจ่ายให้เร็วทั้งเงินโครงการไทยเข้มแข็งที่ค้างท่ออยู่ รวมทั้งการลงทุนโครงการใหม่ๆ กลับไม่ได้ตามเป้า

เมื่อ “เงินไม่หมุนไป” กิจกรรมเศรษฐกิจไทยก็แป้ก แถมยังมาเจอสติกเกอร์ คสช.ให้ปวดตับ

สุขใจจังเฮ้อ!!!