วันจันทร์, มกราคม 18, 2559

เหลืออด เมื่อปรากฏว่าพวกคนดีจริยธรรมสูงส่งกำลังก้าวล้ำเข้าไปบงการสงฆ์




ว่าจะไม่แตะเรื่องศาสนา (พุทธะ-ของ-อิสระ) แล้วเชียวนะ (ก็ด้วยเหตุผลเดียว ‘ไกลปืนเที่ยง’)

แต่มันชักจะเหลืออด เมื่อปรากฏว่าพวกคนดีจริยธรรมสูงส่งกำลังก้าวล้ำเข้าไปบงการสงฆ์




บ่องตง laymen คนธรรมดาอย่างเราๆ นับถือพุทธอย่างเดียวแน่วแน่ นิกายไหนๆ Baptist, Episcopal, Fundamental มาจีบ มาจี้ มาขอเบียด ไม่เคยใจอ่อน

สังฆราชตั้งใหม่กันมาไม่รู้กี่องค์ ก็ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนอะไรนักหนา เพราะว่าเป็นเรื่องบริหารจัดการภายในของสงฆ์

แต่พอมีคนดังแกนนำ กปปส. ศีรษะโล้น ห่มเหลือง (สัญญลักษณ์มือหนึ่งจับว้อคกี้ท้อคกี้ อีกมือกำธนบัตร) ออกมาหาเหตุป่วนปั่นให้สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ลูกศิษย์ลูกหาจะได้อยู่กันนานๆ

แถมพวกสภาลูกเมียแจ้นออกมารับลูกด้วยบ้าง กลายเป็นประเด็นร้อนให้นานาชาติมองไทย ไม่เพียงเป็น bipolar ทางการเมือง แต่ยังเป็น ‘ประสาทหลอน’ ทางศาสนาด้วย

มิหนำซ้ำร้าย ‘ปัญญาชนสยาม’ เช่น ส.ศิวรักษ์ โจนลงมา ‘ยำ’ กับเขาอีก

“มีการตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุที่ต่อต้านสมเด็จช่วงไม่ให้ขึ้นเป็นสังฆราชเพราะธรรมกาย ถ้าสมเด็จช่วงได้ขึ้นเป็นพระสังฆราช ธรรมกายจะเฟื่องฟู” ส.ศิวรักษ์กล่าวกับ นสพ.โพสต์ทูเดย์

(http://www.posttoday.com/analysis/interview/410673)

“พูดตรงไปตรงมา สมเด็จช่วงก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนะครับ ท่านเป็นคนน่ารัก ไอ้มลทินนี่เคยมีเรื่องอื้อฉาวสมัยก่อน พวกในคณะสงฆ์เขาปิดกันเพราะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ แล้วแกก็เปิดเผยว่าธัมมชโยเป็นลูกศิษย์แก เคยบวชให้ก็ต้องสนับสนุน นี่แง่หนึ่ง”

ตรงอย่างนี้คือตรงเป้าที่ตั้งใจเท่านั้นแหละ (จะว่าตรงไปตรงมา คงไม่ตรงความหมาย)

แล้วก็ “ข้อสำคัญคือ ฝ่ายมหานิกายเขาต่อสู้ว่าถ้าไม่ได้แกก็กลัวฝ่ายธรรมยุตินิกายจะมา เพราะฝ่ายธรรมยุตเป็นสังฆราชนานเต็มทีแล้ว ตั้งแต่วัดราชบพิธ วัดมกุฎ วัดบวร มหานิกายเป็นประเดี๋ยวเดียวเอง อย่างสมเด็จเกี่ยวเป็นสังฆราชแป๊บเดียวก็ตาย ทีนี้เลยอยากให้มหานิกายขึ้นบ้าง

มันเป็นเรื่องแบ่งพวกกันเท่านั้นเอง ไม่มีอะไร” อันนี้ตรงเผง ใช่เลย

ในเมื่อมหานิกายกับธรรมยุตชิงเด่นกันมาตั้งแต่ก่อตั้งธรรมยุตนั่นแล้ว ว่าตามตรงก็เป็นเรื่องภายในไม่กระทบมหาชนภายนอกสังฆมณฑลเท่าไรแล้ว จะต้องมาเดือดร้อนกันตรง ‘ธรรมกาย’ นี่แหละหรือ

หากโจทย์ว่าธรรมกาย ‘ประหลาด’ แล้ว ‘สันติอโศก’ นั่นก็เป็นสิ่งประหลาดหลากหลาย ไม่เดินตามแนวดั้งเดิม เช่นเดียวกับธรรมกาย ทำไมไม่ถือว่าร้ายแรง รับไม่ได้บ้าง

จึงกล่าวได้ไหมว่าที่ออกมาเสริมกันใหญ่โต ยับยั้งตั้งสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เป็นสังฆราชองค์ใหม่ หักล้างระเบียบภายในพุทธจักรสยาม ดังที่มติของมหาเถรสมาคมได้ผ่านแล้ว กลับทำให้เป็นเรื่องของรสนิยมส่วนตัวต่างหาก

“ฝ่ายต้านเลยกลัวว่าถ้าสมเด็จช่วงขึ้น โอกาสที่จะพังก็เร็วขึ้น นี่คือเหตุผลที่พุทธะอิสระ (เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม) ออกมาต่อต้าน” ก็เลยจะพากันไปเป็นพุทธเจ้าอย่างเขากันหรือ

นั่นน่ะแหละบอกแล้ว พวกเราๆ ก็แค่นิกรธรรมดา มองดูสรรพสิ่งอย่าง ‘นายอี๊ฟ’ บ้าง ถ้ามันไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้คนจำนวนมาก แถมยังทำความสุขสบายใจให้คนอีกจำนวนมากด้วย ก็เลยอดแปลกใจไม่ได้ หากไม่มี ‘อะเจ็นด้า’ ซ่อนไว้ จะกวนน้ำให้ขุ่นทำไม

ที่กล่าวมาเพียงแค่คอมเม้นต์จากเลย์เม็นตามความรู้สึก สามัญสำนึก ไม่ลึกล้ำอะไร จะให้ลึกกว่านี้หน่อยต้องความเห็นของมหาเก่า ‘สุรพศ ทวีศักดิ์’ ตอบ ส.ศิวรักษ์ ว่า

“อ.สุลักษณ์พูด ‘ขัดแย้งทางหลักการ’ ในประเด็นสำคัญมากคือ

๑.อาจารย์ยืนยันความถูกต้องตามธรรมวินัย แต่อาจารย์กลับสนับสนุนพระลิขิต (อดีต) สมเด็จพระสังฆราชที่ตัดสินว่าพระธัมมชโยปาราชิก ทั้งๆที่ตามหลักธรรมวินัยนั้น การตัดสินว่าพระรูปใดรูปหนึ่งปาราชิกต้องตัดสินตามหลัก ‘สัมมุขาวินัย’ คือมีคณะพระวินัยธรทำการไต่สวนผู้ฟ้องอาบัติ ผู้ถูกฟ้อง และพยานหลักฐานจน ‘สิ้นสงสัย’ แล้วจึงตัดสินต่อหน้าผู้ฟ้อง ผู้ถูกฟ้อง จะตัดสินลับหลังโดยผู้ถูกฟ้องไม่มีโอกาสแก้ต่างไม่ได้

๒.อาจารย์เคยบอกว่าไม่ได้สนับสนุนรัฐประหาร แต่อาจารย์กลับสนับสนุนให้ใช้อำนาจเผด็จการอย่างเด็ดขาดแบบเป็น "เผด็จการโดยธรรม" แล้วใครเป็นผู้กำหนดว่าอะไรคือ "ธรรม" ในเมื่อเผด็จการตรวจสอบคัดค้านไม่ได้

๓. จากข้อ ๒ ทำให้การยืนยัน ‘เสรีภาพ’ ในการตรวจสอบทุกอำนาจของอาจารย์ไม่ make sense คือเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ เพราะเสรีภาพดังกล่าวจะเป็นไปได้ภายใต้ระบบประชาธิปไตยเท่านั้น ฉะนั้นปัญหาสำคัญของอาจารย์สุลักษณ์คือ ไม่ยืนยัน ‘จุดยืนประชาธิปไตย’ อย่างคงเส้นคงวา”

เรื่อง ‘พระลิขิต’ นี่ถ้าถาม ไพบูลย์ นิติตะวัน นักปฏิรูปหลังแต่งตั้งที่สนิทชิดเชื้อกับพวกปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง เขาบอกว่า

“สมเด็จฯ ที่ถูกเสนอชื่อนั้นมีพฤติกรรมสนับสนุนอุ้มชู พระธัมชโย ซึ่งกระทำผิดโดยตามคำวินิจฉัยของสมเด็จพระญาณสังวร ซึ่งท่านได้เคยมีพระลิขิตไว้ให้ปาราชิก ประเด็นอยู่ตรงนี้”

ในขณะที่โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติยืนยันว่า

“ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าพระลิขิตกับพระบัญชาแตกต่างกันอย่างไร จดหมายคือพระลิขิต ส่วน บัญชาคือคำสั่ง ถ้ามีพระบัญชาเรื่องใดก็ต้องปฏิบัติตาม ไม่ปฏิบัติตามก็ถือว่ามีความผิดพระสังฆราช

ส่วนพระลิขิต เป็นจดหมายแสดงความคิดเห็น ไม่ได้สั่งใคร มีจดหมายถึงมหาเถรสมาคม ทางมหาเถรสมาคม ก็ต้องเอาเรื่องเข้าว่าท่านมีความเห็นว่าอย่างไร ต้องแยกแยะกันให้ถูก”

(http://www.thairath.co.th/content/561730)

ตานี้ การตั้งสังฆราชองค์ใหม่ระบุไว้เป็นกฎหมาย “เมื่อไม่มีสมเด็จพระสังฆราช หรือสมเด็จพระสังฆราชไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้นายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบตามมติของมหาเถรสมาคม (มส.) เสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ขึ้นกราบบังคมทูลฯ เพื่อสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช”
(พ.ร.บ.สงฆ์ ๒๕๐๕ แก้ไข ๒๕๓๕)




แต่ขณะนี้ประเทศไม่ได้ปกครองด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญตามทำนองธรรม (ดา) หากแต่ใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวที่คณะรัฐประหารกำหนดขึ้น แถมยังมีคำสั่งของคณะรัฐประหารเป็น bouncers คอยประกบ

และทั้งหัวหน้าใหญ่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และหัวหน้าน้อย พณ.ห. (ฯพณฯ หัวเจ้าท่าน) วิษณุ เครืองาม ผู้ใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ออกมาตีกันไว้แล้ว ว่าถ้าการโต้แย้งเรื่องแต่งตั้งสังฆราชยังไม่สงบ ก็จะยังไม่กราบบังคมทูลฯ

แถมทั่นรองฯ ฝ่ายหัวหมอเคยเปรยไว้ด้วยว่าตัวอย่างเคยมีแล้วนะ ดองไว้ ๓๗ ปี ยังดองได้

ดังนั้นที่พระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยดำริว่า

“อาตมาอยากฝากถึงกลุ่มที่ออกมาค้านการเสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เป็นสมเด็จพระสังฆราชขอให้คำนึงถึงความถูกต้องอย่าสร้างเงื่อนไขและออกมายั่วยุ ขอความร่วมมือให้เวลารัฐบาลได้ทำงานอย่างตรงไปตรงมา แต่ถ้าจะออกมาวัดกันที่มวลชน คณะสงฆ์จำนวนมากพร้อมออกมาเตือนสติ”

ตามข่าวว่าคณะสงฆ์ดังกล่าวมีอยู่คร่าวๆ สี่หมื่นรูป
(http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1453009177)

ถึงอย่างไรก็คงยากส์ แม้นว่า “ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้อง การขอเพิกถอนหมายจับหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย นครปฐม แกนนำ กปปส. กรณีนำมวลชนไปขัดขวางการเลือกตั้ง”

(http://www.thairath.co.th/content/439641)

อันทำให้พระสุวิทย์ยังคงเป็นบุคคลต้องหาอาญาแห่งกฎหมายอยู่ต่อไป ซึ่งเลวร้ายเสียยิ่งกว่าโดนพระลิขิตปาราชิก

เพราะคดีอาญาที่ว่านั้นพันพัวการนำมวลชนไปขัดขวางการเลือกตั้ง ที่มีกลุ่มคนติดอาวุธเป็นคณะคุ้มกัน ที่ทำการยิงใส่ฝ่ายตรงข้าม มีคลิปวิดีโอบันทึกไว้ หากคดีไปถึงศาลสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ ย่อมใช้คลิปนั้นแนบเป็นหลักฐานพยานได้อย่างดี




ซ้ำร้าย “นอกจากหมายจับเรื่องขัดขวางการเลือกตั้งแล้ว หลวงปู่พุทธะอิสระยังมีหมายจับฐานกบฏอีกด้วย”

กรณีนี้ไม่ควรที่จะต้องนำไปฟ้องร้องยูเอ็นให้เสียเวลา มีรัฐบาลของประชาชนเมื่อไหร่ มีผู้พิพากษาตามหลักกฎหมายมากกว่าเกณฑ์ศรัทธาพรรค เมื่อนั้นย่อมดำเนินคดีให้หลาบจำได้