![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg4E8sffLi7iNbKSATY-vxrjqPnsVsK7mMUDmEF78lwmXUtCKsZT4I5-9jyfm729_GyKF238teY7XznoL_3-9MjpL_94UaeZaw-qButVQ5se9gbnxTf9rfq0LuPWLuQLZQEo5tcp9_AW0K8uW59QrrAltK99D3AtFsYx0zM4lbLBdOcbxuj3xO2Pw/w392-h220/8a000b20-32db-11ef-9af2-d71cdccb00ef.jpg.webp)
คนไทยได้หรือเสีย? ควรรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับ "แผนไฟฟ้าแห่งชาติ" ที่จะใช้ถึงปี 2580
ปณิศา เอมโอชา
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
1 กรกฎาคม 2024
“ค่าไฟจะแพงไปถึงเมื่อไหร่ ?” และ “จะถูกลงกว่านี้ได้ไหม ?”
คำถามเหล่านี้จะถูกกำหนดด้วยแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือแผนพีดีพี ฉบับใหม่ (PDP 2024) ซึ่งจะครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ปี 2567-2580 แผนฉบับนี้เกี่ยวข้องกับค่าไฟของประชาชนอย่างไร และบอกอะไรถึงทิศทางของพลังงานของประเทศ บีบีซีไทยตอบคำถามในบทความนี้
แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของไทย (Power Development Plan-PDP) หรือที่มักเรียกย่อ ๆ ว่า แผนพีดีพี เป็นแผนแม่บทในการบริหารจัดการไฟฟ้าของประเทศในช่วง 15-20 ปีข้างหน้า
จากร่างแผนพีดีพี 2024 ฉบับใหม่นี้ นักวิชาการหลายฝ่ายเห็นตรงกันเรื่องการใช้ชุดข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งถูกนำมาใช้คาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงเกินความเป็นจริงสำหรับปี 2565-2566 รวมถึงตัวเลขประเมินในอนาคตที่อาจสูงกว่าความเป็นจริงด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีการถกเถียงเรื่องปริมาณการสำรองพลังงานไฟฟ้าที่ "ล้นเกิน" มีทั้งฝ่ายที่มองว่ามากเกินจนกลายเป็นภาระของประชาชน กับอีกฝ่ายที่มองว่าการเปลี่ยนถ่ายสู่พลังงานสะอาดยังมาพร้อมกับความไม่แน่นอนและเมื่อคำนวณความเสี่ยงต่าง ๆ เข้าไปแล้ว ตัวเลขที่ได้ออกมาไม่ได้นับว่าสูงเกินไป
บีบีซีไทยพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านแผนพลังงานทั้งในไทยและต่างประเทศ เพื่อวิเคราะห์ว่าร่างพีดีพี 2024 ตอบโจทย์ต่อทิศทางพลังงานของประเทศหรือไม่ และจะส่งผลอย่างไรต่อราคาพลังงานที่คนไทยต้องจ่าย
แผนพีดีพี คืออะไร?
แผนพีดีพีหรือแผนแม่บทในการบริหารจัดการไฟฟ้าของประเทศ ครอบคลุมทั้งการประเมินความต้องการใช้ไฟฟ้า การจัดเตรียมไฟฟ้าเอาไว้ให้เพียงพอและมีความมั่นคง รองรับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน
เนื่องจากแผนแม่บทนี้ให้อำนาจผู้กำหนดนโยบายในการประเมินตัวเลขความต้องการไฟฟ้าในอนาคต และต้องจัดหาไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งหมายถึงต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า แผน พีดีพีจึงส่งผลโดยตรงต่อค่าไฟฟ้าของคนไทย เช่น ถ้ามีการประเมินว่าจะมีความต้องการไฟฟ้ามาก อาจนำไปสู่การสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
แผนพีดีพี ยังเป็นการตอบโจทย์เรื่องสภาพภูมิอากาศของสังคมโลก เพราะในการจัดหามาซึ่งไฟฟ้าผู้กำหนดนโยบายสามารถออกแบบได้ว่าจะให้ที่มาของไฟฟ้านั้น มาจากพลังงานแบบดั้งเดิม หรือพลังงานสะอาด
สาเหตุที่จำเป็นต้องร่างแผนขึ้นมาใหม่ ทั้ง ๆ ที่ในแผนพีดีพี 2018 ได้วางโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าไว้ถึงปี 2580 อยู่แล้ว สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน ให้เหตุผลไว้ 3 ข้อได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจ (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ-จีดีพี) ไม่เป็นไปตามคาด จากการประสบกับวิกฤตโควิด-19, ความต้องการไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไป และการปรับนโยบายให้สอดคล้องกับทิศทางพลังงานโลก จากการที่ไทยให้คำมั่นกับนานาชาติโดยตั้งเป้าที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ภายในปี 2050 และจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero greenhouse gas emission) ภายในปี 2065
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhAfVh0vEFH6RvHNVXtCgsh1jS2qihgXn4R255euQxySBFNqA3WFlSy1php2ar_VzJTKa37JNLwBc14lugPoy_GSYtyB_41mwOIwNR8V0cf94JCkddH6RwcNe-D3R1b5GXIOLqWuRnNnyPfIBRGY64A7EQ0yTvgz3n_cWkH3Q3_jGitRjxUJnZLaQ/w386-h217/78a12cb0-32db-11ef-9af2-d71cdccb00ef.jpg.webp)
ค่าไฟเกี่ยวข้องกับแผนพีดีพีอย่างไร
ตั้งแต่ปัจจุบันไปจนถึงอย่างน้อยในเดือน ส.ค. ปีนี้ ค่าไฟคนไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.1805 บาทต่อหน่วย ตามข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งจะเป็นผู้ประกาศตัวเลข “ค่าไฟฟ้าผันแปร” หรือที่หลายคนคุ้นหูในชื่อ “ค่าเอฟที”
แม้ค่าเอฟทีจะเป็นตัวเลขที่ตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง แต่ยังไม่สะท้อนโครงสร้างค่าไฟทั้งหมดได้
รศ.ดร.กุลยศ อุดมวงศ์เสรี อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า และ ผอ.สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า หากมองจากตัวเลข 4.18 บาท จะพบว่าโครงสร้างค่าไฟแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ปัจจัยหลักอย่างต้นทุนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าถึง 63% ซึ่งในที่นี้คือทั้งก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน หรือพลังงานหมุนเวียน ที่ไทยไปรับซื้อมา
ค่าเอฟที ซึ่งจะมีการประกาศทุก ๆ 4 เดือน ก็นับรวมอยู่ในต้นทุนเชื้อเพลิงนี้ด้วย โดยหลัก ๆ เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหาเชื้อเพลิงที่เปลี่ยนแปลงไปจากตัวเลขค่าไฟฟ้าฐานที่คำนวณเอาไว้จากต้นทุนคงที่ หากต้นทุนในการจัดซื้อเชื้อเพลิงลดลง ค่าเอฟทีก็สามารถเป็นลบได้ ส่งให้ค่าไฟฟ้าต่อหน่วยในช่วงนั้นถูกลง หรือในทางตรงกันข้ามหากต้นทุนสูงขึ้น ค่าเอฟทีก็กลายเป็นบวกและส่งผลให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้น
ขณะที่ปัจจัยรองประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ ต้นทุนค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้า ต้นทุนระบบจำหน่ายและค้าปลีก และต้นทุนระบบส่งไฟฟ้า ในสัดส่วน 19% 12% และ 6% ตามลำดับ
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าค่าเอฟทีในค่าไฟฟ้าของประชาชน จึงเกี่ยวพันอยู่กับทั้งตัวเชื้อเพลิงและโรงงานไฟฟ้า รศ.ดร.กุลยศ อธิบายว่า หากมีการประมาณความต้องการไฟฟ้าที่มากเกิน จนนำไปสู่การสร้างโรงงานไฟฟ้าขึ้นมา แต่ไม่ได้ใช้จริง ต้นทุนตรงนี้ก็ยังตกมาอยู่ที่ประชาชน
ความต้องการใช้ไฟฟ้าในแผนฉบับนี้สูงแค่ไหน
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2ZxGtUlOrW22VO_E13Ud0vz9NfGR__vq16C2I194bAQyYvaLt2x9mUUwCM3hbcUfXfW_FYJ4l5xEUtSSijeVgLwQW19LcpglVEDcBH2YtMCO_5TYIYI2uDpa1bz0Z05rxd3nsvTP9fVMWWotLnZeTKlhL17AlW4krBvtuGrd3V0m4GIzKRo14og/w381-h214/ef53fc20-32db-11ef-9af2-d71cdccb00ef.jpg.webp)
ในร่างแผนพีดีพี 2024 ค่าพยากรณ์ความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุด (กรณี BASE) ในปี 2580 นั้น จะอยู่ที่ 54,546 เมกะวัตต์
แผนพีดีพียังเป็นตัวที่ระบุความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ
ระบบไฟฟ้าเป็นความมั่นคงของประเทศและต้องมีการบริหารจัดการและจัดเตรียมไม่ให้เกิดภาวะขาดแคลน เพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น ฝ่ายผู้กำหนดนโยบายพลังงานจำเป็นต้องประเมินให้ได้ว่าในแต่ละปีคนไทยจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้ามากน้อยแค่ไหนในกรณีปกติ (Business as usual: BAU)
ตัวเลขนี้พยากรณ์ได้จากการคำนวณผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ตัวเลขจำนวนประชากร รวมไปถึงข้อมูลรายละเอียดการใช้ไฟฟ้าของครัวเรือน และโครงสร้างสภาวะเศรษฐกิจและสังคม
นอกจากนี้ ยังอาจมีการคำนวณความต้องการไฟฟ้าเพิ่มเติมจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่หรือนโยบายของรัฐ อาทิ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง หรือเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยเรียกความต้องการไฟฟ้าตรงนี้ว่า “กรณี BASE” ซึ่งจะได้ตัวเลขที่สูงกว่ากรณีปกติ
สำหรับความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศในร่างแผนพีดีพี 2024 ค่าพยากรณ์ความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุด (กรณี BASE) ในปี 2580 นั้น จะอยู่ที่ 54,546 เมกะวัตต์ ปรับขึ้นจากแผนพีดีพี 2018 ซึ่งอยู่ที่ 53,997 เมกะวัตต์
ประเมินจีดีพีสูงเกินทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเกินจริงหรือไม่
ในรายงาน 13 ข้อสังเกตต่อร่างแผนพีดีพี 2024 ซึ่งจัดทำโดยองค์กร JustPow (จัสต์พาว) ซึ่งติดตามข้อมูลด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมในประเทศ ตั้งข้อสังเกตว่า ตัวเลขจีดีพีที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เลือกมาใช้ในการคำนวณจนได้ออกมาเป็นตัวเลข 54,546 เมกะวัตต์นั้น กลับเป็นชุดข้อมูลเก่าที่มีตัวเลขจีดีพีไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ตัวเลขที่ทางการนำมาคำนวณ เป็นข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2565 โดยพบว่า ค่าเฉลี่ยจีดีพีระหว่างปี 2565-2580 อยู่ที่ 3.1%
ในชุดตัวเลขของ สศช. ปี 2565 นั้น ประเมินว่าจีดีพีของปี 2565 อยู่ที่ 4.0% ขณะที่ตัวเลขจริงอยู่ที่ 2.6% ส่วนตัวเลขของปี 2566 ที่ประเมินไว้ที่ 3.7% ตัวเลขจริงอยู่ที่ 1.9%
นอกจากนี้ ประมาณการตัวเลขจีดีพีล่าสุดของไทยจากธนาคารแห่งประเทศไทยสำหรับปี 2567 และ 2568 ก็ต่ำกว่า 3% ในขณะที่ตัวเลขของ สศช. ที่เอามาใช้ในการคำนวณไฟฟ้านั้นทะลุ 3% ขึ้นไป
สถานการณ์การคำนวณเช่นนี้จึงทำให้ รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อาจารย์ประจำสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกมาตั้งคำถามว่า “ตอนนี้เราอยู่ มิ.ย. 2567 แล้ว มันควรจะเอาข้อมูลจริงมาใช้”
รศ.ดร.กุลยศ ซึ่งมีอีกตำแหน่งหนึ่งในฐานะคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บอกกับบีบีซีไทยว่า แท้จริงแล้วแผนพีดีพี 2024 จะต้องทำตั้งแต่ช่วงปี 2022 ทว่าเกิดความล่าช้า จนพอล่วงเลยมาถึงปัจจุบัน ตัวเลขประเมินจากปี 2565 อาจจะสูงเกินไปแล้ว
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาตัวเลขประเมินจีดีพีระยะยาว รศ.ดร.กุลยศ ชี้ว่า “ยังพยายามมองโลกในแง่ดีอยู่ว่าประเทศไทยไม่ควรจะมีจีดีพีโตต่ำกว่า 3% ซึ่งอาจจะต้องขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย แต่ผมคิดว่าด้วยตัวเลขที่ใช้พยากรณ์ไม่ได้สูงอยู่แล้ว”
นอกจากนี้ รศ.ดร.ชาลี ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า สูตรที่ใช้ในการคำนวณแผนพีดีพี 2024 มีปัญหาเช่นเดียวกันเพราะไม่ได้ผนวกรวมสิ่งที่เรียกว่า “Energy Intensity: EI” หรือ “ปริมาณการใช้พลังงานภาพรวมของประเทศต่อจีดีพี”
เขาอธิบายว่าในโลกปัจจุบันการจะสร้างจีดีพีให้ได้หนึ่งหน่วย ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามากเท่าเดิมแล้ว
ข้อมูลจากหลายหน่วยงานทั้ง องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ซึ่งเป็นองค์กรภายใต้กรอบความร่วมมือขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) โครงการ Our World in Data ของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และบริษัทวิจัยเอกชนด้านพลังงานและประเด็นทางสิ่งแวดล้อมอย่าง Enerdata แสดงให้เห็นว่า ในระดับโลกนั้น ปริมาณความต้องการใช้พลังงานต่อการสร้างจีดีพีหนึ่งหน่วยลดลงมาเรื่อย ๆ
สำหรับประเทศไทย สถิติในปี 2022 อยู่ที่ ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า 1.25 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ต่อการสร้างจีดีพี 1 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงมาจาก 1.39 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ต่อการสร้างจีดีพี 1 ดอลลาร์สหรัฐ ของปี 2014
“เพราะฉะนั้นแปลว่าท้ายสุดแล้วมันก็มีโอกาสสูงมากเลยว่าการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าครั้งนี้ก็จะผิดพลาดอีก” รศ.ดร.ชาลี กล่าว
ตัวเลขสำรองไฟฟ้า "ล้นเกิน" หรือไม่ เกี่ยวกับค่าไฟอย่างไร
แผนพีดีพียังเป็นตัวที่ระบุความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ
ระบบไฟฟ้าเป็นความมั่นคงของประเทศและต้องมีการบริหารจัดการและจัดเตรียมไม่ให้เกิดภาวะขาดแคลน เพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น ฝ่ายผู้กำหนดนโยบายพลังงานจำเป็นต้องประเมินให้ได้ว่าในแต่ละปีคนไทยจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้ามากน้อยแค่ไหนในกรณีปกติ (Business as usual: BAU)
ตัวเลขนี้พยากรณ์ได้จากการคำนวณผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ตัวเลขจำนวนประชากร รวมไปถึงข้อมูลรายละเอียดการใช้ไฟฟ้าของครัวเรือน และโครงสร้างสภาวะเศรษฐกิจและสังคม
นอกจากนี้ ยังอาจมีการคำนวณความต้องการไฟฟ้าเพิ่มเติมจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่หรือนโยบายของรัฐ อาทิ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง หรือเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยเรียกความต้องการไฟฟ้าตรงนี้ว่า “กรณี BASE” ซึ่งจะได้ตัวเลขที่สูงกว่ากรณีปกติ
สำหรับความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศในร่างแผนพีดีพี 2024 ค่าพยากรณ์ความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุด (กรณี BASE) ในปี 2580 นั้น จะอยู่ที่ 54,546 เมกะวัตต์ ปรับขึ้นจากแผนพีดีพี 2018 ซึ่งอยู่ที่ 53,997 เมกะวัตต์
ประเมินจีดีพีสูงเกินทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเกินจริงหรือไม่
ในรายงาน 13 ข้อสังเกตต่อร่างแผนพีดีพี 2024 ซึ่งจัดทำโดยองค์กร JustPow (จัสต์พาว) ซึ่งติดตามข้อมูลด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมในประเทศ ตั้งข้อสังเกตว่า ตัวเลขจีดีพีที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เลือกมาใช้ในการคำนวณจนได้ออกมาเป็นตัวเลข 54,546 เมกะวัตต์นั้น กลับเป็นชุดข้อมูลเก่าที่มีตัวเลขจีดีพีไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ตัวเลขที่ทางการนำมาคำนวณ เป็นข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2565 โดยพบว่า ค่าเฉลี่ยจีดีพีระหว่างปี 2565-2580 อยู่ที่ 3.1%
ในชุดตัวเลขของ สศช. ปี 2565 นั้น ประเมินว่าจีดีพีของปี 2565 อยู่ที่ 4.0% ขณะที่ตัวเลขจริงอยู่ที่ 2.6% ส่วนตัวเลขของปี 2566 ที่ประเมินไว้ที่ 3.7% ตัวเลขจริงอยู่ที่ 1.9%
นอกจากนี้ ประมาณการตัวเลขจีดีพีล่าสุดของไทยจากธนาคารแห่งประเทศไทยสำหรับปี 2567 และ 2568 ก็ต่ำกว่า 3% ในขณะที่ตัวเลขของ สศช. ที่เอามาใช้ในการคำนวณไฟฟ้านั้นทะลุ 3% ขึ้นไป
สถานการณ์การคำนวณเช่นนี้จึงทำให้ รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อาจารย์ประจำสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกมาตั้งคำถามว่า “ตอนนี้เราอยู่ มิ.ย. 2567 แล้ว มันควรจะเอาข้อมูลจริงมาใช้”
รศ.ดร.กุลยศ ซึ่งมีอีกตำแหน่งหนึ่งในฐานะคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บอกกับบีบีซีไทยว่า แท้จริงแล้วแผนพีดีพี 2024 จะต้องทำตั้งแต่ช่วงปี 2022 ทว่าเกิดความล่าช้า จนพอล่วงเลยมาถึงปัจจุบัน ตัวเลขประเมินจากปี 2565 อาจจะสูงเกินไปแล้ว
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาตัวเลขประเมินจีดีพีระยะยาว รศ.ดร.กุลยศ ชี้ว่า “ยังพยายามมองโลกในแง่ดีอยู่ว่าประเทศไทยไม่ควรจะมีจีดีพีโตต่ำกว่า 3% ซึ่งอาจจะต้องขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย แต่ผมคิดว่าด้วยตัวเลขที่ใช้พยากรณ์ไม่ได้สูงอยู่แล้ว”
นอกจากนี้ รศ.ดร.ชาลี ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า สูตรที่ใช้ในการคำนวณแผนพีดีพี 2024 มีปัญหาเช่นเดียวกันเพราะไม่ได้ผนวกรวมสิ่งที่เรียกว่า “Energy Intensity: EI” หรือ “ปริมาณการใช้พลังงานภาพรวมของประเทศต่อจีดีพี”
เขาอธิบายว่าในโลกปัจจุบันการจะสร้างจีดีพีให้ได้หนึ่งหน่วย ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามากเท่าเดิมแล้ว
ข้อมูลจากหลายหน่วยงานทั้ง องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ซึ่งเป็นองค์กรภายใต้กรอบความร่วมมือขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) โครงการ Our World in Data ของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และบริษัทวิจัยเอกชนด้านพลังงานและประเด็นทางสิ่งแวดล้อมอย่าง Enerdata แสดงให้เห็นว่า ในระดับโลกนั้น ปริมาณความต้องการใช้พลังงานต่อการสร้างจีดีพีหนึ่งหน่วยลดลงมาเรื่อย ๆ
สำหรับประเทศไทย สถิติในปี 2022 อยู่ที่ ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า 1.25 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ต่อการสร้างจีดีพี 1 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงมาจาก 1.39 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ต่อการสร้างจีดีพี 1 ดอลลาร์สหรัฐ ของปี 2014
“เพราะฉะนั้นแปลว่าท้ายสุดแล้วมันก็มีโอกาสสูงมากเลยว่าการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าครั้งนี้ก็จะผิดพลาดอีก” รศ.ดร.ชาลี กล่าว
ตัวเลขสำรองไฟฟ้า "ล้นเกิน" หรือไม่ เกี่ยวกับค่าไฟอย่างไร
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgjK7k2izW0TVcrct3jUneEEP2ZiuERWDkTUj6f77hQ6-BYdUz1Y7niX3R1KOSzhMmjIZTiV4xaNETFQ3Fmodm9usYzORPk4DMMWhVEf0K0FgB4ptzSbvoZ1Kc1U7LUiDElus2eL4cx6dft7Lp6Wn-KYxO-eHNkN6VyO5ywfF-A9NiYh1LFFOXbMA/w393-h262/55bb0ad0-32dc-11ef-a044-9d4367d5b599.jpg.webp)
วันที่ 2 พ.ค. 2567 ประเทศไทยมีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 36,792.1 เมกะวัตต์ ขณะที่ประเทศมีกำลังผลิตไฟฟ้าในระบบรวมทั้งสิ้น 50,724.1 เมกะวัตต์
ไม่เพียงแต่ตัวเลขประเมินความต้องการไฟฟ้าเท่านั้นที่ทำให้หลายภาคส่วนเกิดความกังวล
เมื่อลงไปดูที่แผนตัวเลขการผลิตไฟฟ้าจนถึงปี 2580 อาจทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า หากตัวเลขประเมินความต้องการไฟฟ้าของ สนพ. อยู่ที่ 54,546 เมกะวัตต์ เหตุใดต้องตั้งสำรองไฟฟ้าไว้สูงถึงอีก 57,845 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าสถิติในปัจจุบันขึ้นไปอีก
ข้อมูลในปี 2567 พบว่าเมื่อวันที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 36,792.1 เมกะวัตต์ ขณะที่ประเทศมีกำลังผลิตไฟฟ้าในระบบรวมทั้งสิ้น 50,724.1 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นตัวเลขสำรองไฟฟ้าที่สูงถึงเกือบ 38%
รายงานจาก JustPow ชี้ว่า การสำรองไฟฟ้าล้นเกินเช่นนี้จะทำให้ภาระค่าใช้จ่ายจากต้นทุนการก่อสร้างโรงงานไฟฟ้า กลับมาอยู่ที่ประชาชนมากขึ้นในที่สุด
JustPow วิจารณ์ต่อว่าการที่ สนพ. ปรับมาใช้ดัชนีการเกิดไฟฟ้าดับ (Loss of Load Expectation. LOLE) อย่างเดียว แทนการใช้สัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง (Reserve margin) ที่เคยกำหนดไว้ที่อย่างต่ำ 15% และปรับตัวเลข LOLE จากเดิมที่ 1 วันต่อปี เป็น 0.7 วันต่อปี เป็นการกดดันให้ต้องมีการสำรองไฟฟ้ามากเกินความจำเป็น และไม่ได้มีการอธิบายเหตุผลมากเพียงพอ
การคำนวณจาก JustPow ชี้ว่า ในแผนพีดีพี 2018 ซึ่งตั้งสัดส่วนปริมาณไฟฟ้าสำรองไว้ที่ 15% และให้ตัวเลข LOLE ไว้ที่ 1 วันต่อปี ส่งผลให้ราคาคาดการณ์ค่าไฟพื้นฐานต่อหน่วยอยู่ที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ดังนั้น จึงตั้งคำถามว่าแล้วถ้าตัดสัดส่วนไฟฟ้าสำรองส่วนเกิน 15% ออก ทั้งยังลดตัวเลขดัชนีการเกิดไฟฟ้าดับลงมาเป็น 0.7 วันต่อปี จะยิ่งเป็นการส่งให้ค่าไฟสูงขึ้นไปอีกหรือไม่
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj00DxKw4T-LhNqqtE9qzUYqAd-K2pxI9JG6a1Iwjn3uj13oXhgUpGfiCkYHsSx2AbPpV6cnNfVKbt-ldF6SRrvQ6T9LfSWSFc5sKdLL9TtEWa-XISigLIHnGbiuMhHByppBhbBTNSCso5acaJx8FikNvGPFbiud8i3e0V7BhBzF3uCst_BAYlZnw/w392-h261/880be6d0-32dc-11ef-bdc5-41d7421c2adf.jpg.webp)
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.กุลยศ แย้งว่า “ต้องถามว่าคำว่าล้นเกิน เขาวัดจากอะไร เพราะการบอกว่าไฟฟ้ามีเยอะเกิน มีน้อยเกิน ตรงนี้จับต้องได้ยาก และเป็นดุลยพินิจส่วนใหญ่”
รศ.ดร.กุลยศ ซึ่งเป็นหนึ่งในบอร์ด กฟผ. ระบุว่า ระบบการผลิตไฟฟ้าในอนาคตของไทยมีการใช้พลังงานหมุนเวียนเข้ามามากขึ้น จึงทำให้การวัดปริมาณสำรองไฟฟ้าจากแค่จากสัดส่วนไฟฟ้าสำรองมีความผิดเพี้ยน เพราะเมื่อเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน อาทิ ระบบโซลาเซลล์ จะมีปัจจัยทางสภาพแวดล้อมที่ควบคุมไม่ได้เข้ามาเพิ่มเติม
“พลังงานแสงอาทิตย์ เราคุมอะไรไม่ได้เลย... ลมก็เหมือนกัน เราบังคับลมอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราเอามาคิดกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองตรง ๆ มันจะเริ่มมีปัญหาแล้ว”
เมื่อไปดูสัดส่วนพลังงานช่วงปลายแผนพีดีพี 2024 พบว่า 51% มาจากพลังงานสะอาด ซึ่งได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ 16% พลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ 16% และพลังงานน้ำจากต่างประเทศ 15%
ด้วยแผนในอนาคตที่ไทยจะพึ่งพาพลังงานแสงอาทิตย์ค่อนข้างมาก รศ.ดร.กุลยศ คำนวณให้ดูว่าตามแผนกำลังการผลิตไฟฟ้าของไทยในปี 2579 กำลังไฟฟ้าสำรองล้นเกินอาจสูงถึง 51.64% แต่นั่นเป็นตัวเลขจากช่วงกลางวัน เพราะถ้ามาพิจารณาความเสี่ยงอื่น ๆ จากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้แล้วนั้น ตัวเลขอัตราไฟฟ้าสำรองในช่วงกลางคืนจะลงมาเหลือแค่เพียง 18.57% เท่านั้น
“ทุกวันนี้ไฟฟ้าล้นเกิน 30-40% เราก็บ่นแล้ว เยอะแล้ว แต่เอาจริง ๆ แล้วอย่างที่บอกมันหลอกตา แล้วตอนกลางคืนทำยังไง เราลองคำนวณดูไฟฟ้าล้นเกินตอนกลางคืน บางปี เช่น ปี 2030 เหลือ 9% เอง ก็ไม่ได้เยอะ” รศ.ดร.กุลยศ กล่าว
แผนพีดีพี 2024 เพิ่มโรงไฟฟ้าใหญ่ 8 แห่ง-เขื่อนในลาว 3 แห่ง
เมื่อการประเมินการใช้ไฟฟ้าและสัดส่วนสำรองสูงขนาดนี้ นำไปสู่คำถามว่า แล้วกระทรวงพลังงาน ตลอดจนหน่วยงานกำกับและบริหารไฟฟ้าของประเทศไทย จะจัดหาพลังงานไฟฟ้าเหล่านี้มาจากแหล่งไหน
ในแผนพีดีพีใหม่นี้จะมีการสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซขนาดใหญ่ (IPP) อย่างน้อย 8 แห่ง คิดเป็นความสามารถในการผลิตไฟฟ้ารวม 6,300 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580
อย่างไรก็ตาม มีการตั้งคำถามจากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรว่า เหตุใดจึงต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มขนาดนี้ ทั้งที่ปัจจุบันประเทศไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากฟอสซิลอยู่แล้วราว 36,500 เมกะวัตต์ ทั้งยังมีโรงไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีข้อผูกพันอยู่แล้วและกำลังรอเข้าระบบอยู่อีก 5,310 เมกะวัตต์
ในสายตาของ รศ.ดร.ชาลี นอกจากโรงไฟฟ้าเหล่านี้อาจจะไม่จำเป็น ยังเป็นโรงไฟฟ้าที่ล้าสมัย ไม่ตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อม ทั้งยังไม่ตอบโจทย์เรื่องราคาต้นทุนด้วย
“หลายคนอาจจะคิดว่าโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติราคาถูกกว่าพลังงานหมุนเวียน แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย ต้นทุนในอนาคตต่อให้ราคาปัจจุบันคงที่ไปตลอดก็ยังแพงกว่าพลังงานหมุนเวียนอยู่ดี มันมีข้อดีอยู่อย่างเดียวเลย คือ มันมีความมั่นคง มันสามารถสั่งการให้ เปิด-ปิด ตามเวลาที่เราต้องการได้”
นอกจากนี้ ในฝั่งของไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ ไทยจะเพิ่มการสร้างเขื่อนในลาวอีก 3 เขื่อน กำลังผลิตรวม 3,500 เมกะวัตต์
ที่ผ่านมาไทยมีสัญญาในการซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนลาวมาเป็นเวลานาน โดยรายงานจาก JustPow พบว่า ราคารับซื้อนั้นปรับสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อดูราคารับซื้อไฟฟ้าก่อนปี 2561 อยู่ที่ 1.70-2.10 บาทต่อหน่วย ก่อนจะขยับขึ้นมาเป็น 2.92 บาทต่อหน่วย สำหรับโครงการตอนนี้ที่ยังไม่เริ่มก่อสร้างและจะเริ่มจ่ายไฟเข้าระบบจริงในเดือน ม.ค. 2576
JustPow ตั้งข้อสังเกตว่า ราคารับซื้อของโครงการจากเขื่อนลาวในระยะหลังแพงกว่าอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ แต่โครงการโซลาร์รูฟท็อป กลับไม่มีเป้าหมายออกมาอย่างชัดเจน
ที่ผ่านมาองค์กรระหว่างประเทศจำนวนหนึ่งได้ออกมาวิจารณ์ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นกับการสร้างเขื่อนในลาว หรือเหตุการณ์เขื่อนพังถล่ม
รศ.ดร.กุลยศ กล่าวว่า เขาเห็นด้วยว่ากรณีเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำที่ลาวมีหลายประเด็นเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่ไม่เห็นด้วยในประเด็นที่ว่าเขื่อนไฟฟ้าพลังงานน้ำไม่คุ้มทุน
“ผมรู้สึกว่าโรงไฟฟ้าพลังน้ำถ้าเทียบกับโรงไฟฟ้าชนิดอื่นก็เป็นโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนถูกและมันก็อยู่กับโลกเรามาเป็นเกือบ 100 ปี”
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าตอนนี้ต้นทุนของโซลาร์เซลล์ถูกกว่าเขื่อนไปแล้ว แต่ย้ำว่าข้อดีของเขื่อนคือสามารถกักเก็บพลังงานได้เป็นจำนวนมาก และเก็บไว้ได้เป็นเวลานานด้วย
สำหรับข้อมูลกำลังผลิตไฟฟ้าล่าสุดเมื่อเดือน พ.ค. 2567 พบว่า กำลังผลิตตามสัญญาของ กฟผ. คิดเป็น 16,261.02 เมกะวัตต์ ส่วนกำลังผลิตจากโรงไฟฟ้าเอกชน คิดเป็น 34,454,28 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นผู้ผลิตจากต่างประเทศ 6,234.90 เมกะวัตต์, โรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) 18,973.50 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) 9,245.88 เมกะวัตต์
แผนพลังงานที่ยังไม่ “กรีน” พอ
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj56oJixOYm-b1j6zTwjiRPXCeUByuNFyxLKU1UyYUeZFh8jKYPbmJRcjuDlK0Hu4WrFZgvYXKErwU2kANpdFQG2Wyr1hZBPuZn9yRdtbHBU6FjCrWhz7el7swTfoo95wHbluQToPTIw9bZrH3M_llp4t9WBPFShhfqUtkR0pSHUAHustjTEq1EGg/w393-h262/e031d1d0-32dc-11ef-90be-b75b34b0bbb2.jpg.webp)
รศ.ดร.ชาลี กล่าวว่า ไทยตั้งเป้าที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ภายในปี 2050 และจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero greenhouse gas emission) ภายในปี 2065 ทว่าร่างแผนพีดีพีฉบับล่าสุดนี้ จะไม่ทำให้ประเทศบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
เขาอธิบายว่า ตามคำแนะนำจากองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) หากไทยต้องการจะบรรลุเป้าหมายที่ให้คำสัญญาว่าภายใน 6 ปี ต่อจากนี้ ไทยต้องผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์และลมไม่น้อยกว่า 30%
ตามแผนพีดีพีล่าสุดนี้ กว่าไทยจะบรรลุสัดส่วนพลังงานที่มาจากน้ำและแสงแดดรวมกันเกิน 30% ก็อยู่ในปี 2580 แล้ว
“เป้าหมายระยะสั้น เราก็หลุดเป้า ส่วนระยะยาว เราก็หลุดเป้า ดูเหมือนว่าเรื่องของการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เรายังไม่เอาจริงเอาจังมากพอ” รศ.ดร.ชาลี ระบุ
ในประเด็นนี้ คอร์ทนีย์ เวเธอร์บาย รองผู้อำนวยการแผนกความมั่นคง น้ำ และพลังงาน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากองค์กรสติมสัน เซ็นเตอร์ (Stimson Center) แนะนำว่าประเทศไทยควรหันมาใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์และลมให้มากกว่านี้ ซึ่งนอกจากจะมีราคาที่จับต้องได้มากขึ้นแล้ว ยังเป็นเทคโนโลยีที่คนไทยคุ้นชินด้วย
เธอแนะนำว่ารัฐบาลไทยควรหันมาผลักดันโครงการโซลาร์รูฟท็อปที่มีการทดลองมาเป็นเวลานานแล้ว พร้อมเปรียบเทียบว่าโครงการโซลาร์เป็นโครงการที่สามารถบังคับใช้จริงได้ไม่ยาก โดยชี้ว่าเวียดนามสามารถเพิ่มไฟฟ้าจากโครงการโซลาร์รูฟท็อปได้ถึง 9,000 เมกะวัตต์ ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น
ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญยังมองด้วยว่า ตามแผนฉบับนี้ยังนำระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี (Battery Energy Storage System: BESS) มาใช้น้อยเกินไป รศ.ดร.ชาลี เห็นว่าหากประเทศไทยต้องการที่จะเปลี่ยนถ่ายมาสู่พลังงานสะอาดมากขึ้น ตัวเลขการกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี ซึ่งตามแผนระบุไว้ที่ 10,000 เมกะวัตต์ยังน้อยเกินไป
“จริง ๆ เราต้องการแบตเตอรีประมาณ 30,000-40,000 เมกะวัตต์ ถ้าเราจะไปสู่การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ เราต้องการแบตเตอรีเยอะกว่านี้”
จากร่างแผนพีดีพี 2024 พบว่า ทั้งการประเมินตัวเลขจีดีพีและการกำหนดแผนความสามารถในการผลิตไฟฟ้า ล้วนส่งผลโดยตรงต่ออนาคตค่าไฟคนไทยทั้งสิ้น แต่คำถามเรื่องค่าไฟคนไทยจะแพงต่อไปนั้นยังขึ้นอยู่กับว่าหน่วยงานกำกับพลังงานของประเทศอย่าง สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จะจัดการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงแผนของตัวเองอย่างไรหลังเปิดรับฟังความเห็นในครั้งนี้
บีบีซีไทยได้ติดต่อ สนพ. เพื่อขอความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างแผนพีดีพี 2024 ดังกล่าว แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับ
https://www.bbc.com/thai/articles/cd111p45ygqo