วันอาทิตย์, กรกฎาคม 02, 2566

แม้มีคนยืนทั้งโรง ก็ยังมีคนนั่งอยู่คนเดียว


Auttapon Srichitsanuwaranon
7h
·
เมื่อฉัน(คนพิการ) ไปดูหนัง แม้คนยืนทั้งโรง เราก็นั่งอยู่คนเดียว
ครั้งนี้คงจะมาแชร์ประสบการณ์ยาวหน่อย แต่ก็อยากให้อ่านกันให้จบ
การไปดูหนังในโรงหลังจากที่พิการมา ไปแบบคนเดียว ต้องบอกว่าครั้งแรกกว่าจะตัดสินไปออกไปดูได้นี้คิดอยู่พักนึ่งเลย ตอนนั้นคือจินตนาการไม่ออกว่า ถ้าหลังจากที่ซื้อตั๋วแล้วจะเข้าไปนั่งดูในโรงหนังได้ยังไง แต่ก็เพราะคิดถึงบรรยากาศในโรงหนัง ความรู้สึกที่ได้นั่งดูในโรงมันฟินกว่าบวกกับการได้ดูหนังที่สดใหม่ไม่ต้องรอตามดูทีหลังมันล้นจนกล้าตัดสินใจไปวัดดวงเอาหน้าโรงหนังแล้วกัน ว่าถ้าเจออุปสรรคอะไร ก็ค่อยหาทางแก้เอาตอนนั้นก็แล้วกัน
แต่ก็ยังไม่ถึงหน้าโรงหนังอย่างแรกที่เจอคือ การที่ต้องค้นหาลิฟต์ทางขึ้นโรงให้เจอก่อน เพราะโรงที่ไปทางขึ้นด้านหน้าโรง เป็นบันไดเลื่อนอย่างเดียวเลย ต้องตามหาพนักงาน ให้ช่วยพาไปขึ้นทางลิฟต์ส่งของ ตอนนั้นขึ้นมาได้ก็ดีใจล่ะแต่ก็สงสัยทำไมไม่ทำลิฟต์ติดไว้ด้านหน้าเลย ทั้งที่ลิฟต์หลักของห้างก็มีมาถึงทุกชั้นได้แต่ดันไม่ทำให้ถึงชั้นโรงหนังไปเลยล่ะ ใช้เวลาสักยี่สิบนาทีได้
ซื้อตั๋วได้แต่ความท้าทายต่อมาคือทางขึ้นก่อนเข้าโรง มีบันไดอีกสี่ห้าขั้น แต่ถอดใจไม่ได้หรอกมาถึงที่แล้ว ความเหนื่อยต้องตกไปอยู่กับน้องพนักงานที่ต้องแบกเราขึ้นบันไดต่ออีก พนักงานคนเดียวไม่พอนะ ต้องสามสี่คนกันเลย จากนั้นก็เข็นรถสบายๆ เข้าโรงหนังแต่ต้องเข้าทางออกของโรงหนังนะ เพราะตรงนั้นพื้นจะเสมอกับพื้นโรงเข็นเข้าได้
แต่ก่อนเข้าโรงต้องจัดการเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนด้วยนะ ตอนนั้นห้องน้ำวีลแชร์บนชั้นโรงหนังก็ยังไม่มีเข้าห้องน้ำคนพิการไม่พิการไปก่อนแต่ดีหน่อยที่ไม่มีบันไดเลยเข้าได้
ต้องเข้าโรงก่อนเวลาและก่อนคนอื่นเข้าดู เพราะต้องใช้เวลาพอสมควรเพื่อเข้าที่นั่ง จากนั้นพนักงานก็เหนื่อยกันต่อ ต้องยกเราเข้าที่นั่ง ซึ่งเราไม่ได้เลือกที่นั่งด้านหน้าสุดไง เราเลือกที่นั่งแถวตรงกลางโรงเลย ถ้าให้นั่งด้านหน้าติดจอ คงจะปวดคอ เวียนหัวแน่ๆ ถ้าแบบนั้นคงจะไม่มีความสุขและฟินสักเท่าไหร่ คิดว่าคนที่เคยดูหนังในโรงคงจะเข้าใจว่านั่งหน้าสุดรู้สึกไง ก็แอบชื่นชมพนักงานว่าพยายามกันน่าดู ก็ขอบใจไปยกใหญ่ จากนั่นพนักงานก็ยกรถเข็นเราไปแอบไว้ด้านข้าง แอบคิดนะว่าถ้าทางเดินด้านข้างของเก้าอี้ที่เป็นบันไดถูกออกแบบให้เป็นทางลาดก็คงดีต่อเราและน้องๆพนักงาน ถ้าจะออกแบบแบบนั้นจริงๆก็ทำได้ล่ะ
หนังเริ่มฉายแสงในโรงเริ่มดับลง ตื่นเต้นรู้สึกดีชิบ การได้นั่งอยู่ในนั้น แต่ก็รู้สึกอึดอัดตอนมีเพลงที่ทำให้ทุกคนต้องยืน ในช่วง 2 นาที จำได้ว่ากดดัน เกร็ง ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เมื่อทุกคนในนั้นลุกยืนกันหมด มีคนเดียวที่ไม่ยืนคือเรา คิดไปเองว่าคนอื่นจะมองเราแบบไหน เพราะหลายคนคงไม่เห็นเราเข้าโรงมาตอนแรกแน่ๆ เพราะเราเข้ามาก่อน บวกกับตอนนั้นเริ่มมีประเด็นในสังคมกับการยืนหรือไม่ยืน เราก็แอบสังเกต ก็มีคนมองบ้างแต่ไม่รู้จะทำไง ได้แต่นั่งเกร็งๆไปจนเพลงจบ กับความรู้สึกอึนๆแบบนั้น หนังสนุกฟินด้วย ตอนออกก็รอให้คนออกหมดเราถึงได้ออกเป็นคนสุดท้าย เพราะต้องรอน้องพนักงานมาช่วยพาลงเก้าอี้และออกจากโรงใช้เวลาสักสิบนาทีได้
ด้วยสถานการณ์แบบนั้นเคยมีน้องคนพิการคนอื่นมาแชร์ให้ฟัง ว่าความรู้สึกคล้ายๆกัน ว่าอึดอัดกดดัน และบ้างคนเคยเจอแบบว่าเอาป๊อบคอร์นปาใส่หัวตอนที่เพลงดัง ปาใส่หัวสามสี่ครั้ง น้องเขาก็พยายามหันกับไปมอง แต่ไม่ทันเห็นว่าใคร เพลงยังไม่จบก็มีคนมาถีบเก้าอี้จากด้านหลังอีก ตอนนั้นน้องถูกคุกคาม น้องบอกเราอย่างนั้น ซึ่งน้องเขาก็เข้าในโรงก่อนคนอื่นด้วยวิธีการเหมือนกับเรา คนที่เข้ามาทีหลังคงไม่เห็นแน่ว่าน้องเดินไม่ได้
ซึ่งในมุมมองเราคิดว่าการกระทำแบบนั้น มันเหี้ยมากๆ ไม่สมควรทำถึงแม้คนที่ทำจะไม่เห็นก็ตามว่าน้องเขาเดินไม่ได้ เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่คนควรเลือกได้ ซึ่งการยืนหรือไม่ได้ยืนไม่ได้บ่งบอกว่ารักหรือไม่รัก ถ้าคนจะรักจะยังไงแบบไหนเขาก็รักอยู่ดี และคนที่ไม่ได้ยืน อาจจะมีเหตุผลทางร่างกายทำให้เขายืนไม่ได้ก็มี อย่าตัดสินเหมารวมกันเลย
ถ้าหากจะกล่าวถึงประสบการณ์ไปดูหนังในโรง เชื่อว่ายังมีเพื่อนคนพิการแบบเราหลายๆคน บางคนหลังพิการอาจจะยังไม่เคยได้กลับไปดูและสัมผัสบรรยากาศแบบนั้นอีกเลย อาจจะกังวลต่ออุปสรรค์ของสภาพร่างกายที่เปลี่ยนไป
โพสนี้อยากชวนเพื่อนคนพิการที่นั่งวิลแชร์ร่วมแชร์ประสบการณ์ การเข้าถึงโรงหนังในปัจจุบันว่าตอนนี้ ยังมีอุปสรรค์อะไรบ้างที่เกิดขึ้น รวมถึงเคยมีเพื่อนคนไหนเคยเจอเหตุการณ์ที่คนเข้าใจผิดเมื่อ “คนยืนทั้งโรง เราก็นั่งอยู่คนเดียว” มาตำหนิหรือต่อว่าบ้าง แล้วแก้ไขสถานการณ์นั้นกันอย่างไร
เพื่อเป็นแนวทางสำหรับเพื่อนคนพิการไว้เตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการเปิดประสบการณ์หลังความพิการ ให้กลับไปดูหนังในโรงอีกครั้ง เพราะชีวิตต่อให้อยู่ในสภาพร่างกายแบบไหน เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะหาความสุขความบันเทิงเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตและจิตใจ

.....
Thasnai Sethaseree
1d
·
สิบกว่าปีก่อน ไปดูหนังกับเมีย ผมนั่ง ในขณะที่ทั้งโรงยืน เมียผมก็ยืนเพราะไม่อยากมีปัญหา
มีผู้ชายบุคลิกราชการพยายามสะกิดหลังผมให้ยืน ผมก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาคงนึกว่าผมเป็นชาวต่างชาติเลยพูดภาษาอังกฤษสำเนียงแปลกๆ ที่ผมฟังไม่เข้าใจให้ผมลุกขึ้นยืน ผมฟังไม่ออกว่าพูดอะไร ก็เลยทำเฉยๆ ชายคนนี้เลยมาพูดกับเมียผมด้วยภาษาไทยว่า บอกแฟนคุณด้วยที่นี่เมืองไทยมาดูหนังต้องยืน ที่เขาพูดนั้นผมได้ยิน แต่ก็ทำเฉยๆ
ระหว่างดูหนัง ชายคนนี้เอากล่องพิซซ่าออกมาจากเป้สะพายหลัง นั่งกินไปสบายใจ ผมนึกในใจ….มึงทำส้นตีนอะไรเนี่ย?
พอหนังจบ ชายคนนี้มายืนรอผมหน้าโรง พยายามเดินเข้าหาผมเพื่อจะเอาเรื่อง เขายังคิดว่าผมเป็นชาวต่างชาติ และพูดกับผมเสียงดังว่า This is Thailand. This is my country. I will put you in jail.
ผมได้ยินและเฉยๆ กับท่าทีจะมาหาเรื่องของเขา
Do you hear what I am saying? Can you understand Thai?
เขาเริ่มก้าวร้าวมากขึ้น จนผมทนไม่ไหว
ผมเลยเริ่มตอบโต้ เสียงดังฟังชัด
“ควยไหม….ไอ้สัส, พูดไทยได้ไหมแบบนี้….จะเอามั้ยไอ้เหี้ย”
เขาชักฝีเท้าฉับไวออกไปจากตรงนั้น และคงรู้แล้วว่าผมเป็นคนไทย พูดไทยได้