
The Politics ข่าวบ้าน การเมือง
Yesterday
การสืบทอดอำนาจครั้งที่ 2 !
ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข
ฟัง podcast ที่นี่ https://youtu.be/Id8DgpJy1Jo
ข่าวการเมืองไทยทุกสื่อในวันนี้วนเวียนอยู่กับข้อถกเถียงเรื่องหลักเพียงเรื่องเดียวคือ ปัญหาการตีความตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าครบ 8 ปีแล้วหรือไม่? … และดูจะมีอาการเถียงกันในทุกวงการ โดยเฉพาะในวงการพนันขันต่อว่า “พลเอกประยุทธ์อยู่หรือไป?”
ในอีกด้านหนึ่งของปัญหา ความพยายามที่จะตอบคำถามเช่นนี้ทำท่าว่าอาจจะกลายเป็น “วิกฤตการเมือง” ในตัวเอง เพราะมีการตีความในทางกฎหมายที่หลากหลายมุม จนประเด็นนี้สามารถนำไปใช้สอนใน “วิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ” สำหรับนักศึกษานิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ในอนาคตได้เป็นอย่างดี
แต่สำหรับสาธารณชนแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นชี้ชวนให้คิดว่า เมื่อเกิดปัญหาทางการเมืองในเรื่องหนึ่งเรื่องใดแล้ว ทำไมกฎหมายไทยไม่สามารถทำให้เกิดความชัดเจนได้ ดังจะเห็นได้ว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตีความเท่านั้น เท่าๆกับที่ “ความถูกความผิด” ในทางการเมืองก็เป็นเรื่องของการตีความทางกฎหมายเช่นกัน จนเสมือนกับประเทศนี้ถูกปกครองด้วยการชี้ขาดของตุลาการ หรือที่เรียกในทางทฤษฎีว่า “ระบอบตุลาการธิปไตย” แต่ก็มิได้มีนัยทางการเมืองว่า ระบอบเช่นนี้เป็น “นิติรัฐ” แต่อย่างใด
สิ่งที่เห็นได้ชัดมาโดยตลอดคือ ปัญหาทางการเมืองของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ที่ต้องมีการตีความทางกฎหมายนั้น มักจะจบลงด้วยความอยู่รอดของรัฐบาลเสมอ จนอาจกล่าวได้ว่า รัฐบาลและตัวนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ ไม่เคยมีประวัติการ “แพ้คดีการเมือง” ในศาลใดๆ เลย ฉะนั้น ปรากฎการณ์เช่นนี้จึงเป็นเสมือน “อภินิหาร” พอๆกับเป็น “ความมหัศจรรย์” ทางกฎหมายที่เกิดแก่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ที่สืบทอดอำนาจมาจากคณะรัฐประหาร 2557
ดังนั้น ความพยายามที่จะอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปของพลเอกประยุทธ์ พร้อมกับการยื่นความเห็นโต้แย้งให้แก่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีการอ้างถึงความเห็นของบุคคลหลักบางท่านในคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ย่อมทำให้คนในสังคมส่วนหนึ่งตีความจาก “ประวัติศาสตร์ของอภินิหาร” ที่ผ่านมาว่า พลเอกประยุทธ์ก็น่าจะชนะอีกครั้ง และไม่น่าจะมีทางเป็นอื่น เพราะเขาไม่เคยแพ้ในทางคดีมาก่อน มิใยที่จะต้องกล่าวว่า ตัวบุคคลในองค์กรอิสระทั้งหลายนั้น ล้วนมาการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร 2557 แม้ก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะมีมติให้ “หยุดพักงานชั่วคราว” ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ยังมีอภินิหารให้ทำงานได้ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้
อย่างไรก็ตาม หากมองในมุมทางรัฐศาสตร์ดังที่ได้เคยกล่าวมาแล้วว่า การนับอายุตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีความชัดเจนในตัวเองที่ต้องเริ่มที่การรับตำแหน่งครั้งแรกในวันที่ 23 สิงหาคม 2557 และไม่น่าจะมีทางนับเป็นอื่นเลยในมิติทางรัฐศาสตร์ เนื่องจากปรากฏชัดจากการมีคำสั่งแต่งตั้งครั้งแรกเกิดขึ้นในวันนั้น แต่วันนี้ ฝ่ายกฎหมาย หรือ “นิติกรนายกฯ” ของพลเอกประยุทธ์ ที่ล้วนนั่งอยู่ในคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งทั้งเห็นและรับรองรายงานการประชุมที่เกิดขึ้น พยายามจะโต้แย้งว่า ต้องนับใหม่ด้วยการ “ตัดตอนนับ” จะนับเป็นเวลาต่อเนื่องไม่ได้ แม้จะมีการดำรงตำแหน่งต่อเนื่องก็ตาม จนอาจจะต้องเรียกภาวะที่เกิดขึ้นว่า “นายกฯตัดตอน”
การคิดหาทางออกและตีความทางกฎหมายเช่นนี้ อาจจะเทียบเคียงได้กรณีปัญหาการ “ยืมนาฬิกา” ที่จบลงด้วย “เสียงหัวเราะ” อย่างน่าเศร้าใจของคนในสังคม แต่เท่ากับบ่งบอกในเชิงความรู้สึกของผู้คนในสังคมว่า “ความน่าเชื่อถือ” ของระบบกฎหมายไทยได้กลายเป็นประเด็นที่ถูกตั้งคำถามในใจคนอย่างมาก
ฉะนั้น การนำเสนอข้อโต้แย้งแบบ “นายกตัดตอน” คงต้องถือว่าเป็นมิติใหม่ของบรรดา “นิติกรนายกฯ” ที่สร้างอภินิหารมาหลายครั้ง และถ้าอภินิหารจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดไปจากความคาดหมายแต่อย่างใด แต่ดังที่กล่าวแล้ว ความสำเร็จเช่นนี้กลายเป็นปัจจัยที่บั่นทอนสถานะของรัฐบาลและตัวพลเอกประยุทธ์เอง
ความจริงด้านกลับประการสำคัญที่อาจต้องยอมรับคือ การสร้าง “อภินิหารทางกฎหมาย” ที่เกิดหลายครั้งนั้น ได้ทำลายทั้งความชอบธรรมของรัฐบาลลงไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเป็นการทำลายสถานะของตัวผู้นำ และดิสเครดิตบรรดา “นิติกรนายกฯ” ที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเหล่านี้ถูกยกย่องให้เป็น “เทพแห่งกฎหมาย” ของวงการนิติศาสตร์ไทยลงอย่างไม่เหลือ และเทพกฎหมายเหล่านี้อาจกลายเป็น “มาร” ของสาขานิติศาสตร์ได้ไม่ยาก
ดังนั้น คำตอบในทางรัฐศาสตร์ (ไม่ใช่คำโต้ในทางนิติศาสตร์) จึงเหลือเป็น “คำเตือน” แต่เพียงประการเดียวว่า หากการนับอายุ 8 ปีของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถูกขยายออกไปด้วยคำอธิบายแบบตัดตอนแล้ว สถานะความชอบธรรมทางการเมืองของตัวพลเอกประยุทธ์จะหมดลงไม่เหลือ และจะตามมาด้วยคำเรียกอย่างเยาะเย้ยต่างๆนานา พร้อมกันนั้นก็พาสถานะขององค์กรอิสระล่มสลายไปในความรู้สึกของวิญญูชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สิ่งที่จะตามมาอีกประการคือ การขยายเวลานับด้วยวิธีของ “นิติกรนายกฯ” จะเป็นดังการ “สืบทอดอำนาจครั้งที่ 2” ของผู้นำรัฐประหาร หลังจากความสำเร็จครั้งแรกด้วยการกลับมาเป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้ง และสิ่งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตทางการเมืองที่จะตามมาอย่างแน่นอน ซึ่งเราไม่มีความจำเป็นต้องไปคำนวณดวงดาวในทางโหราศาสตร์เลยว่า มฤตยูยังกุมลัคน์ของดวงเมืองหรือไม่ แต่สิ่งที่ตอบได้ชัดคือ การสืบทอดอำนาจครั้งที่ 2 นี้ ถ้ากระทำสำเร็จก็จะเป็น “ทุกขลาภ” ใหญ่ของพลเอกประยุทธ์และคณะอย่างแน่นอน ความสำเร็จของการอยู่ต่อหลัง 8 ปีจะเป็น “แนวร่วมมุมกลับ” ให้แก่การประท้วงและการต่อต้านรัฐบาลในอนาคตอีกด้วย
แต่ในอีกด้านของปัญหาที่ไม่มีใครตอบได้คือ ถ้าวิกฤตการเมืองไทยเกิดขึ้นจริงแล้ว วิกฤตชุดนี้จะมีความใหญ่ที่จะสร้างผลสะเทือนต่อความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคตได้มากน้อยเพียงใด!