วันพุธ, มิถุนายน 09, 2564

“Can I speak to you as a man to man?” เรื่องเล่าที่รู้กันจาก ทูตนอกแถว


ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador
16h ·

You can’t judge a book by the cover
-
วันก่อนมีโอกาสไปแว่บหายใจโล่งๆแถวอยุธยา เลยนึกถึงความหลังสมัยอยู่กรมพิธีการทูตที่เคยพาคณะวีไอพีต่างประเทศหลายคณะมาที่นี่ วันนี้จึงขอมาเล่าประสบการณ์อีกเรื่องนะครับ
-
ตอนนั้นเรารับคณะนายกรัฐมนตรีของประเทศหนึ่ง (ขอไม่เอ่ยชื่อ) ที่มาเยือนไทยเป็นทางการ ท่านเป็นผู้ที่อายุมากแล้ว น่าจะเจ็ดสิบขึ้นอย่างน้อยเพราะเดินเหินก็ไม่ถนัดแล้ว ท่านเป็นผู้สนใจในพุทธศาสนามาก หลังจากการประชุมหารือเสร็จสิ้น ท่านขอให้จัดโปรแกรมไปชมวัดวาอารามต่างๆทั้งในและนอกกรุงเทพฯ
-
ซึ่งทำให้ผมพลอยได้มีโอกาสได้ไปชมพระพุทธรูปทองคำที่วัดไตรมิตรด้วย เพราะปกติไม่ใช่คนที่อยู่ๆจะไปเข้าวัดเข้าวากับเขานัก แต่ใครยังไม่เคยชม ขอแนะนำนะครับว่า a must และ amazing มากๆ โดยเฉพาะในแง่ศิลปะความงามที่หาไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้ และยังเป็นพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามบันทึกของกินเนสด้วย (ถ้าไปชมแล้วก็แวะกินข้าวหมูแดงแถวนั้นด้วย นี่ก็สุดยอดครับ)
-
เราพาท่านนายกรัฐมนตรีไปชมวัดวาอารามที่อยุธยา และที่พระพุทธบาท สระบุรีซึ่งความที่ท่านชราแล้วเจ้าหน้าที่ต้องช่วยกันพยุงท่านขึ้นบันใดที่สูงหลายชั้นกว่าจะถึงยอดบนสุด จำได้ว่าวันนั้นอากาศร้อนด้วย
-
กลับถึงโรงแรมห้าดาวแถวสุขุมวิทที่ทางฝ่ายไทยจัดให้พักในตอนเย็น ซึ่งหลังจากนั้นมีเพียงโปรแกรมส่วนตัวที่ท่านนายกพบทางสถานทูตประเทศท่านในห้องพัก พวกเราจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน (พวกเจ้าหน้าที่ติดตามคณะก็พักที่เดียวกับคณะวีไอพีนะครับ)
-
จำได้ว่าสักประมาณสี่ทุ่มกว่ากำลังจะอาบน้ำและเข้านอนเพราะร้อนและเพลียมาทั้งวัน ก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่สันติบาลที่ทำหน้าที่อารักขาวีไอพีบอกว่าท่านนายกต้องการพบหัวหน้าฝ่ายพิธีของไทยที่ดูแลคณะ
-
ก็สงสัยว่าดึกป่านนี้ท่านนายกต้องการอะไร แต่ก็เมื่อเขาเรียกเราก็ต้องไป โดยหวังว่าจะไม่ถูกร้องเรียนหรือบ่นเรื่องที่เกี่ยวกับการให้การต้อนรับคณะ พอไปถึงห้องสวีทใหญ่ที่ท่านพัก เจ้าหน้าที่สันติบาลหน้าห้องก็เปิดประตูให้ผมเข้าไปข้างใน
-
ผมก็เข้าไปยืนแล้วก็ได้ยินเสียงท่านนายกบอกให้ไปนั่งรอที่โต๊ะกลมตัวใหญ่ตรงบริเวณที่เป็นส่วนรับแขกภายในห้องสวีทนั้น ผมก็ทำตามแล้วสักพักท่านนายกก็เดินมานั่งกับผม
-
ผมรู้สึกแปลกๆระคนอึดอัดเล็กน้อยเพราะท่านายกอยู่ในชุดลำลองมากๆคือมีเพียงเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวบางๆแขนสั้นและไม่กลัดกระดุมสักเม็ด ซึ่งภาพของชายชราพุงยื่นผิวเหี่ยวย่น ไม่ใช่อะไรที่น่าดูนัก (นี่คือเล่าอย่างย่อแล้วนะ แต่จำภาพติดตาเลย)
-
ท่านก็เอ่ยขึ้นกับผมเป็นภาษาอังกฤษว่า “Can I speak to you as a man to man?” ซึ่งสรุปคือแกจะขอให้ผมช่วยหาผู้หญิงให้ ผมเองก็แปลกใจเพราะเรื่องแบบนี้ปกติมันควรให้สถานทูตของประเทศนั้นช่วยจัดการให้เองไม่ใช่ให้เจ้าหน้าที่ของฝ่ายเจ้าบ้านเป็นคนทำให้
-
เดาว่าแกคงไม่กล้าขอสถานทูตตัวเอง ซึ่งตอนแรกผมเองก็ไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรดี โดยเฉพาะที่หน้าอกซ้ายของแกนั้น พูดง่ายๆคือเหมือนเขียงที่มีรอยสับเต็มไปหมด คือแกคงผ่าหัวใจมาหลายรอบแล้วมั๊ง ก็กลัวว่าเกิดมาเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร ใครจะรับผิดชอบ? และปฏิเสธไปเลยดีไหม เพราะประเทศไทยไม่มีโสเภณี (ตามกฎหมาย) นะ
-
ผมเลยบอกว่าต้องขอกลับไปหารือกับทางเจ้าหน้าที่ก่อน ท่านก็ไม่ว่าอะไร พอออกจากห้องผมก็โทรศัพท์ไปรายงานผู้ใหญ่ถามว่าจะให้ผมทำอย่างไร ทางผู้ใหญ่ท่านบอกว่าให้จัดไปเลย
-
ก็เลยให้ลูกน้องคนหนึ่งที่มีคอนเนคชั่นดีช่วยเป็นภาระให้ แต่ก็บอกฝ่ายสันติบาลว่ามีอะไรรีบตามผมทันที ซึ่งสุดท้ายก็ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย
-
เอาล่ะ เรื่องนี้มันมีทั้งประเด็นทางศาสนา ศีลธรรมและแง่มุมต่างๆให้มองและถกเถียงกันได้มากมาย และเราก็อาจมองได้ว่าคนเรานั้นตัดสินกันแต่เพียงภายนอกไม่ได้ ( you can’t judge a book by its cover)
(และซึ่งก็ทำให้เห็นว่าในบางประเทศนายก เขาก็ไม่ได้มีอำนาจอะไรมากมายนักด้วย)
-
ใครจะคิดอย่างไรในเรื่องนี้ก็สุดแล้วแต่ ส่วนประเด็นหนึ่งที่ผมคิดคือเรื่องภาพลักษณ์ของประเทศเราในแง่การเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยธุรกิจทางเพศ ที่คนภายนอกเขาอาจมองว่ามันคงเป็นเรื่องปกติธรรมดาของประเทศนี้ ที่ใครๆก็ใช้บริการ การขอให้ช่วยเป็นธุระหาให้หน่อยก็คงไม่แปลกอะไรนักหนาไหม
-
และปัญหาส่วนหนึ่งนี่ก็คือการไม่ยอมรับความจริงของสังคมไทยเองด้วยใช่หรือไม่? ในแง่หนึ่งมันก็คือลักษณะมือถือสากปากถือศีลของสังคมเราเองด้วยใช่หรือเปล่า? เราบอก(หรือหลอก)ตัวเองว่าเราเป็นเมืองพุทธแสนดีที่ไม่มีโสเภณี แต่จะมีใครในโลกเชื่อหรือไม่?
-
เอาเข้าจริงเรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องผลประโยชน์มืดที่มีเม็ดเงินมากมายมหาศาลที่อยู่ในมือกลุ่มคนไม่กี่คน แต่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร และผู้ให้บริการก็ไม่ได้รับการเหลียวแลคุ้มครองดูแลจากรัฐ แต่เป็นเรื่องที่พอมีใครสะกิดก็จะโกรธกัน แม้ปกติเราก็เอาหูไปนาตาไปไร่
-
ก็เล่าประสบการณ์ให้ฟังกัน ผมเองหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้าน่าจะมีการพูดเรื่องนี้กันอย่างจริงจังมากขึ้นเพื่อแก้ไขสิ่งนี้ และไม่ว่าเราจะยอมรับแค่ไหน แต่ภาพลักษณ์ของเรา อันเปรียบได้ดังปกหนังสือ ทุกวันนี้มันอาจเป็นคนละปกกับที่โลกเขารับรู้และมองเห็นเรานะครับ
-
แต่ก็อย่างว่าหละครับ ประเทศเรามีเรื่องที่ไม่ถูกต้องที่น่าอับอายอย่างยิ่งมากมาย แต่คนที่มีอำนาจเขาก็ไม่เห็นได้รู้สึกรู้สาอะไร คงเกินจะรู้ว่าคำว่าอายคืออะไรกันแล้ว

https://www.facebook.com/alternativeambassador/posts/259576732627526