Tanakorn Wongpanya
11h ·
เอกสาร 23 แผ่นนี้ คือ ผลโหวตของส.ส. และส.ว. ต่อญัตติส่งศาลตีความอำนาจแก้รธน.
พบว่า เพื่อไทย 10 คน พลังประชารัฐ 8 คน ภูมิใจไทย 1 คน คือศักดิ์สยาม ก้าวไกล 2 คน ประชาธิปัตย์ 3 คน ประชาชาติ 2 คน ส.ว. 13 คน ซึ่งหมายถึง ขาด/ลา/ไม่ลงคะแนน
เศรษฐกิจใหม่เห็นด้วย 1 ที่เหลืองดออกเสียง ยกเว้นมิ่งขวัญ ไม่เห็นด้วย
ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา พรรคร่วมรัฐบาลยืนหนึ่งไม่เห็นด้วย
ชาติพัฒนา ของสุวัจน์ งดออกเสียง
เพื่อไทย ก้าวไกล เสรีรวมไทย เพื่อชาติ พลังปวงชนไทย ประชาชาติ ฝ่ายค้าน ไม่เห็นด้วย
พลังท้องถิ่นไทย รวมพลังประชาชาติไทย เห็นด้วย
พรรคเล็กเห็นด้วยหมด ยกเว้นมงคลกิตติ์ ไทยศรีวิไลย์ ที่ย้ายมาฝ่ายค้านไม่เห็นด้วย
ประชาธิปัตย์ เห็นด้วย 1 คน อภิชัย เตชะอุบล ที่ได้ลาออกจากเหรัญญิกพรรคไป
ส่วนส.ว.นั้น ส่วนใหญ่เห็นด้วย มีงดออกเสียง 7 คน เช่น คำนูณ ซากีย์ เนาวรัตน์ เช่นเดียวกับพลังประชารัฐที่เห็นด้วย
ภาพจาก Work point Today
Voice TV
12h ·
ส.ว.แห่ดีใจโอบกอด 'ไพบูลย์' หลังเตะถ่วงอีกยก! มติรัฐสภา 366 ต่อ 315 เสียงเห็นชอบชงร่างแก้ไข รธน.ให้ศาล รธน.ชี้ขาดเนื้อหาขัดแย้งต่อ รธน.หรือไม่
.
วันที่ 9 ก.พ. 2564 ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้พิจารณาญัตติด่วน เรื่องขอเสนอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 (2) เกี่ยวกับการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้มี ส.ส.ร.มาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นญัตติที่ ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และ สมชาย แสวงการ ส.ว.เป็นผู้เสนอ
.
โดยที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภามีมติ 366 เสียงต่อ 315 เสียง เห็นชอบให้ส่งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เปิดทางให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมีเนื้อหาขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยมีสมาชิกรัฐสภา 15 เสียงงดออกเสียง จากผู้ร่วมประชุม 696 คน
.
ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นการพิจารณาญัตติดังกล่าว นายไพบูลย์ เดินได้เข้าไปจับมือ และสวมกอดกับ ส.ว.อย่างแนบแน่น ซึ่ง ไพบูลย์ถือเป็นแกนนำหลักที่ผลักดันให้ที่ประชุมรัฐสภามีมติเห็นชอบส่งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมให้ศาลรับธรรมนูญ โดยผู้ที่เห็นชอบในญัตติดังกล่าวเห็นว่าเนื้อหาของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นนั้นอาจขัดหรือแย้ง ต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยหลังจากนี้ประธานรัฐสภา จะส่งคำร้องของไพบูลย์ และ สมชาย ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
.
โดยก่อนหน้านี้ ไพบูลย์ เสนอเหตุผลว่า การยื่นญัตติครั้งนี้ ต้องการให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปอย่างถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งหลังจากที่ตนเองได้ทำหน้าที่เป็นรองประธานกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาก่อนรับหลักการ ก็พบประเด็นข้อกฎหมายว่า รัฐสภาจะมีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้หรือไม่ เพราะตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 256 ไม่ได้บัญญัติให้รัฐสภามีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ให้รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญรายมาตราเท่านั้น ขณะเดียวกันก็มีข้อโต้แย้งกัน ตนจึงเห็นว่า หากไม่มีการดำเนินการให้ชัดเจนว่ารัฐสภามีอำนาจหรือไม่ตนเป็นห่วงว่าจะมี ส.ว. อาจจะเกรงว่ามีปัญหาเมื่อไม่ชัดเจนในการลงมติวาระ 3 ก็อาจจะไม่กล้าที่จะให้ความเห็นชอบอาจงดอกเสียง ทำให้ได้เสียงเห็นชอบในการผ่านร่างรัฐธรรมนูญไม่เพียงพอ
.
ไพบูลย์ กล่าวว่า แม้จะมีสมาชิกรัฐสภาหลายท่านไม่เห็นด้วยในการส่งศาลรัฐธรรมนูญ แต่บอกว่า ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญหลังจากพิจาณาวาระสามเสร็จแล้ว ซึ่งจะต้องไปทำประชามติ ซึ่งก็เห็นว่า ต้องไปส่งศาลรัฐธรรมนูญอยู่ดีแต่จะต้องเสียเงิน 3 พันล้านบาท หากศาลวินิจฉัยว่าร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ ดำเนินการไม่ได้ ดังนั้นการที่ยื่นญัตติฉบับนี้ก็เพื่อทำความชัดเจน ก่อนที่จะไปสู่ขั้นตอนการทำประชามติ ดังนั้นเมื่อรัฐสภามีมติญัตตินี้แล้วขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ และก่อนหน้านี้มีบันทึกความเห็นของกรรมการกฤษฎีกา ต่อผลการศึกษาของกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 60 ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีความเห็นให้ยึดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยที่ 18-22/2555 ที่ และคำวินิจฉัยที่ 15-18/2556 ดังนั้น กรณีที่เป็นปัญหาจึงควรส่งญัตติให้วินิจฉัยโดยด่วน ทั้งนี้ ญัตติไม่ได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญคุ้มครองชั่วคราวหรือให้ชะลอการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังดำเนินต่อไปได้
.
“หากศาลรัฐธรรมนูญระบุว่าทำได้ จะทำให้ ส.ว.สบายใจ และการลงมติวาระสาม ไม่มีปัญหา แต่หากรัฐธรรมนูญวินิจฉัยรัฐสภาไม่มีอำนาจจัดทำฉบับใหม่ และแก้ไขรายมาตราเท่านั้น ผมเสนอให้ตั้ง กมธ.แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ของรัฐสภา ซึ่งจะแก้ไขกว่า 100 มาตราได้ เชื่อว่าจะไม่เสียเวลาและงบประมาณจำนวนหมื่นล้านบาท” ไพบูลย์ กล่าว
.
อ่านต่อ https://www.voicetv.co.th/read/kwySmELlG
.....
Siripan Nogsuan Sawasdee
5h ·
การที่สมาชิกรัฐสภาส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ “อำนาจของตนเอง” ในการแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ว่า ส.ส. และ สว. เหล่านี้ ไม่เข้าใจอำนาจหน้าที่ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ (separation of powers) จนต้องไปพึ่งพาการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
แต่เป็นเพราะว่าคนกลุ่มนี้ ใช้ทุกวิถีทางเพื่อสร้างกำแพงขวางกั้นให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อการสืบสานอำนาจของระบอบทหาร ที่ตนเองได้เกาะเกี่ยวรอรับผลประโยชน์ เกิดขึ้นไม่ได้ หรือ เกิดขึ้นได้ช้าที่สุด
การกีดขวางการแก้รัฐธรรมนูญภายใต้บรรยากาศทางการเมืองเช่นนี้ อาจส่งผลด้านกลับ 2 ประการ คือ
1. รัฐธรรมนูญขาดความชอบธรรม ส่งผลให้นับวันคนยิ่งขาดศรัทธา ไม่เชื่อถือ ไม่ยอมปฏิบัติตาม
2. รัฐธรรมนูญทั้งฉบับถูกทดแทนโดยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะไม่ต้องวุ่นวายปวดหัวกับข้อจำกัดที่ไร้เหตุผล ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ แม้วิธีการร่างใหม่ทั้งฉบับอาจใช้เวลานานกว่า และเงื่อนไขของการเกิดขึ้นอาจยากลำบากและไม่ราบรื่นนัก
ตัวเลขที่น่าสนใจของการยื่นญัตติยื้อกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ 316 เสียงที่ลงมติไม่เห็นด้วย (เกินครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร)
เพราะนอกจากจะประกอบด้วยแนวร่วมฝ่ายค้าน ได้แก่ เพื่อไทย 123 ก้าวไกล 51 เสรีรวมไทย 9 ประชาชาติ 5 เพื่อชาติ 5 เศรษฐกิจใหม่ 2 พลังปวงชนไทย 1 แล้ว
ยังสมทบทัพด้วยพรรคร่วมรัฐบาล ได้แก่ ภูมิใจไทย 60 ประชาธิปัตย์ 47 ชาติไทยพัฒนา 12 และ ไทยศรีวิไลย์ 1
การโหวตสวน ของพรรคร่วมรัฐบาลในญัติติสำคัญนี้ สะท้อนความขัดแย้งที่หากประนีประนอมไม่ได้ ย่อมส่งผลสะเทือนต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจและเสถียรภาพของรัฐบาล
ส่วนตัวเลขพรรคร่วมฝ่ายค้านที่งดออกเสียง/ (ตั้งใจ) ขาดประชุม (เพื่อไทย 10 ก้าวไกล 2 ประชาชาติ 2 และฝ่ายรัฐบาล พลังประชารัฐ 8 คน ชาติพัฒนา 4 ภูมิใจไทย 1 ประชาธิปัตย์ 3) น่าจะบอกเค้าลางของการก่อรูปพรรคการเมืองกลุ่มใหม่ หลังหมดยุคของพลังประชารัฐ
การเมืองปีนี้จะเข้มข้นและร้อนแรง
5h ·
การที่สมาชิกรัฐสภาส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ “อำนาจของตนเอง” ในการแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ว่า ส.ส. และ สว. เหล่านี้ ไม่เข้าใจอำนาจหน้าที่ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ (separation of powers) จนต้องไปพึ่งพาการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
แต่เป็นเพราะว่าคนกลุ่มนี้ ใช้ทุกวิถีทางเพื่อสร้างกำแพงขวางกั้นให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อการสืบสานอำนาจของระบอบทหาร ที่ตนเองได้เกาะเกี่ยวรอรับผลประโยชน์ เกิดขึ้นไม่ได้ หรือ เกิดขึ้นได้ช้าที่สุด
การกีดขวางการแก้รัฐธรรมนูญภายใต้บรรยากาศทางการเมืองเช่นนี้ อาจส่งผลด้านกลับ 2 ประการ คือ
1. รัฐธรรมนูญขาดความชอบธรรม ส่งผลให้นับวันคนยิ่งขาดศรัทธา ไม่เชื่อถือ ไม่ยอมปฏิบัติตาม
2. รัฐธรรมนูญทั้งฉบับถูกทดแทนโดยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะไม่ต้องวุ่นวายปวดหัวกับข้อจำกัดที่ไร้เหตุผล ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ แม้วิธีการร่างใหม่ทั้งฉบับอาจใช้เวลานานกว่า และเงื่อนไขของการเกิดขึ้นอาจยากลำบากและไม่ราบรื่นนัก
ตัวเลขที่น่าสนใจของการยื่นญัตติยื้อกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ 316 เสียงที่ลงมติไม่เห็นด้วย (เกินครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร)
เพราะนอกจากจะประกอบด้วยแนวร่วมฝ่ายค้าน ได้แก่ เพื่อไทย 123 ก้าวไกล 51 เสรีรวมไทย 9 ประชาชาติ 5 เพื่อชาติ 5 เศรษฐกิจใหม่ 2 พลังปวงชนไทย 1 แล้ว
ยังสมทบทัพด้วยพรรคร่วมรัฐบาล ได้แก่ ภูมิใจไทย 60 ประชาธิปัตย์ 47 ชาติไทยพัฒนา 12 และ ไทยศรีวิไลย์ 1
การโหวตสวน ของพรรคร่วมรัฐบาลในญัติติสำคัญนี้ สะท้อนความขัดแย้งที่หากประนีประนอมไม่ได้ ย่อมส่งผลสะเทือนต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจและเสถียรภาพของรัฐบาล
ส่วนตัวเลขพรรคร่วมฝ่ายค้านที่งดออกเสียง/ (ตั้งใจ) ขาดประชุม (เพื่อไทย 10 ก้าวไกล 2 ประชาชาติ 2 และฝ่ายรัฐบาล พลังประชารัฐ 8 คน ชาติพัฒนา 4 ภูมิใจไทย 1 ประชาธิปัตย์ 3) น่าจะบอกเค้าลางของการก่อรูปพรรคการเมืองกลุ่มใหม่ หลังหมดยุคของพลังประชารัฐ
การเมืองปีนี้จะเข้มข้นและร้อนแรง