วันพฤหัสบดี, เมษายน 02, 2563

ยกระดับความเข้มข้นมาตรการฉุกเฉิน พร้อมๆ ไปกับเร่งอนุมัติกู้หลายแสนล้าน

และแล้วการระบาดของโควิด-๑๙ในไทยก็เป็นไปตาม ‘Trajectory’ หรือแนวตั้งเส้นกร๊าฟ จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งนับแต่รัฐบาลประกาศบังคับใช้มาตรการฉุกเฉินมาครบอาทิตย์ ประยุทธ์สั่งแล้วให้ยกระดับความเข้มข้น

แม้นว่าการบังคับใช้ พรก.สถานการณ์ฉุกเฉินในรอบแรกนี้จะยังมีเวลาถึงวันที่ ๓๐ เมษายน แต่ศูนย์ฉุกเฉินโควิด-๑๙ ก็กำหนดแล้วเช่นกันว่าจะต่ออายุการบังคับใช้ไปอีกครั้งละ ๑ เดือน จนครบสามเดือนตามแผนแรกเริ่มที่ได้ขอมติคณะรัฐมนตรี

ประยุทธ์พูดเลยเมื่อวานซืน “ยังไม่มีแนวโน้มจะยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน เว้นแต่ให้ไปพิจารณาว่าอะไรทำแล้วได้ผลและดีขึ้น” ก็อาจมีการผ่อนผัน “แต่หากไม่ดีขึ้นก็จะเข้มข้นมากยิ่งขึ้น” ซึ่งก็เริ่มแล้วด้วยการสั่งห้ามเปิดขายอาหารและบริการตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตีห้า

และ “หากยังมีการเคลื่อนย้ายจำนวนมากอยู่ในปัจจุบัน” ต่อไปก็ต้อง “ลดการให้บริการทั้งหมด รถไฟฟ้า รถโดยสาร รถไฟ รถเมล์...ถ้าไม่เรียบร้อยอีกก็หยุดบริการทั้งหมดเพื่อลดการเคลื่อนย้ายไปมา” นี่ก็หวังว่าน่าจะเป็นในอีกไม่กี่วันหรืออาทิตย์หน้า


จากภาพที่ Richard Barrow @RichardBarrow สื่ออิสระ ‘expat’ จากอังกฤษนำลงบนทวิตเตอร์เมื่อวาน เรือด่วนคลองแสนแสบคนโหนแน่น “ถ้าสภาพการณ์เช่นนี้เป็นไปอย่างกว้างขวาง เราอย่าหวังเลยว่าจะหยุดยั้งการแพร่ระบาดยิ่งขึ้นของโควิด-๑๙ได้”
 
อีกภาพที่เขาเอามาแชร์เป็นสภาพรถติดดังปกติยามเช้าตรงพระโขนง ซึ่งมีคนไปคอมเม้นต์ว่า “คำขอร้องให้เก็บตัวอยู่กับบ้านมันมากนักหรือ” sohil gilani @slippedchest ต่อยอดคำของบาร์โรว์ที่ว่า “คุณจะพินิจเช่นไร มีการปฏิบัติตามระเบียบรักษาระยะห่างบ้างไหม”

จากที่ Thanapol Eawsakul เอาไปแซวว่า “เราจะอยู่ในสภาวะฉุกเฉินจนเป็นเรื่องปกติ ส่วนสภาวะปกติกลายเป็นข้อยกเว้น...และแน่นอนว่าเมื่อครบ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๓ ก็จะขยายต่อไปอีกเรื่อย ๆ” ตีความได้สองทาง

หนึ่งนั่น ภาวะฉุกเฉินเป็นความเคยชินของประชาชนเสียจนมาตรการยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสด้วยการรักษาระยะห่างทางกายภาพ (๒ เมตร หรือ ๖ ฟุต) ที่ทั่วโลกเชื่อว่าได้จะผลจริง ไม่มีความหมายสำหรับชาวไทย

อีกทางเป็นอย่างที่ เดอะนิวยอร์คไทมส์ระบุไว้เมื่อวันก่อน “รัฐบาลบางแห่งฉวยโอกาสใช้วิกฤตทางสาธารณสุขเป็นเครื่องบังหน้าเพื่อกระชับอำนาจเบ็ดเสร็จ ทั้งที่เกี่ยวเนื่องกับการระบาดของเชื้อโรคไม่มากนัก”

บทความเมื่อ ๓๐ มีนาคม ยกตัวอย่างประเทศฮังการี อิสรเอล จอร์แดน ชิเล สิงคโปร์ ฟิลิปปีนส์ และไทย โดยอ้างความเห็นของนางโอเลน ตัวแทนพิเศษสหประชาชาติว่า “มีรัฐบาลประเภทที่เตรียมรูปแบบการใช้อำนาจพิเศษไว้รอสวมสถานการณ์ฉุกเฉิน” ก็มี

“มันไม่มีความชัดเจนใดๆ ว่าหลังจากวิกฤตผ่านไปแล้ว กฎหมายบังคับใช้สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินจะกลายเป็นอะไรต่อไป” ประธานศูนย์กฎหมายนานาชาติ ดักลาส รัทเซ็น ถึงกับชี้ว่า “มันง่ายยิ่งนักที่จะสร้างกฎหมายฉุกเฉินขึ้นมาบังคับ พอจะยกเลิกก็แสนยาก”


ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทยพูดไว้แล้วเมื่อประกาศใช้อำนาจในสถานการณ์ฉุกเฉิน ว่าให้ประชาชนระวังในเรื่องการสื่อสาร อย่าได้ให้มากระทบความมั่นคง (ของรัฐบาล) เชียวนะ เช้านี้รองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ฝ่ายการคลังและตลาดหุ้น

เพื่อเร่งรัดข้อเสนอออก พรก.กู้เงินต่อคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (๓ มีนา) เป็นจำนวนหลายแสนล้าน “เพื่อใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ” ซึ่งเดิมกำหนดว่าจะกู้ประมาณ ๒ แสนล้านบาท มาถึงขณะนี้ไม่พอเสียแล้ว อ้างว่ามาตรการเยียวยาคนตกงาน ฮิต เกินคาด

เดิมที “โครงการแจกเงินช่วยเหลือ ๕,๐๐๐ บาท เป็นเวลา ๓ เดือน เตรียมงบประมาณไว้ ๔.๕ หมื่นล้านบาท เพราะคาดว่าจะมีผู้ได้สิทธิ ๓ ล้านคน” แต่ปรากฏว่าขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนไว้แล้ว ๒๒ ล้านราย คิดว่าจะมีคนได้สิทธิราว ๙ ล้านคน


ดังนั้นจะต้องใช้งบประมาณสำหรับรายการ #เราไม่ทิ้งกัน ถึง ๑ แสนล้านบาทเข้าไปแล้ว ฉะนั้นกู้แค่ ๒ ล้านไม่พอ เพราะทางรัฐมนตรีคลังเขียนใบเบิกจ่ายเอาไว้ว่า “มาตรการดูแลเศรษฐกิจชุดที่ ๓ จะดูแลทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ

ทั้งประชาชน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ผู้ประกอบการรายใหญ่ ตลาดการเงิน และตลาดหุ้น” ครบวงจร นี่ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ อย่างน้อยๆ ส.ส.ฝ่ายค้านในสภาได้ซักค้านกันแหลก บริหารประสาอะไร งบประมาณก็ตั้งเกินดุลไว้แล้วเยอะแยะ ยังจะกู้พิเศษอีก

แม้นว่าสภาไม่เปิดแต่ฝ่ายค้านและประชาชนทั่วไปก็เอาไปอภิปรายนอกสภาได้ ถึงตอนนั้นอาจได้เห็นการใช้ พรก.ฉุกเฉินในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับวิกฤตไวรัสโดยตรงกันละ