วันศุกร์, มีนาคม 06, 2563

กระทรวงหมอส่ายหัว เมื่อ รมต.สาธารณสุข ไม่ได้ถูกแต่งตั้งเพื่อรับมือกับปัญหา “สาธารณสุข” (แล้วแบบนี้คนสาสุขไม่คิดจะออกมาแฟรชม้อบกับบ้างเหรอครับ?)




กระทรวงหมอส่ายหัว “เสี่ยหนู”
เมื่อ รมต.สาธารณสุข
ไม่ได้ถูกแต่งตั้งเพื่อรับมือกับปัญหา “สาธารณสุข”


เข้าสู่เดือนที่ 2 ของการระบาดของโรคโควิด-19 เสียงบ่นของคนกระทรวงสาธารณสุข ที่ส่งผ่านไปถึงผู้บริหาร อย่างอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ก็ดูจะดังมากขึ้นเรื่อย ๆ

สิ่งสำคัญก็คือต้นทุนของการเป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก เริ่มจะหมดไป เพราะคนที่อยู่ “หน้างาน” ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรค หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ รพ.สต. ไม่เว้นแม้กระทั่งโรงพยาบาลเอกชน ล้วนต้องทำงานหนัก หามรุ่งหามค่ำ เพื่อรับมือกับโคโรนาไวรัส

เพราะปัจจุบัน การ “คัดกรอง” ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ที่เดินทางมาจากจีน (ที่ไทยยังเปิดรับอย่างต่อเนื่องและไม่เคยปิดรับ ไม่เคยผ่อนปรนยกเลิก Visa on Arrival) เท่านั้น แต่ยังมีผู้ที่เข้าข่ายมาจากประเทศ “เฝ้าระวัง” อื่น ๆ เดินทางเข้าไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจากอิหร่าน เกาหลี อิตาลี ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศในยุโรปที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล

นั่นทำให้จำนวนผู้ที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคมากขึ้นเรื่อย ๆ ทะลุหลักพันคนมาสักระยะหนึ่งแล้ว และยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อไป

แต่นโยบายกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะจาก “เจ้ากระทรวง” อย่างอนุทินนั้น กลับไม่แน่นอน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอด

เพราะในวันที่ฝ่าย “หมอ” อย่างข้าราชการ อย่างนักระบาดวิทยา ขอให้ผู้ที่เดินทางไปในประเทศเฝ้าระวังกักตัวเอง 14 วัน แต่เมื่อมี สส. ของพรรคร่วมรัฐบาล และมีรัฐมนตรีหลายคน เดินทางไปในพื้นที่ระบาด โดยไม่ใส่หน้ากาก และยังมาทำงานตามปกติ เข้าประชุมสภา เข้าพบประชาชน เสี่ยหนู ก็บอกว่าไม่มีนโยบายให้ “กักตัว” เพียงแต่ต้องดูแลตัวเอง

ขณะเดียวกัน เมื่อกระทรวงหมอ และบรรดา Influencer รณรงค์ให้ “คนไทย” ที่ไปต่างประเทศกักตัวเอง 14 วัน แต่นักท่องเที่ยวทั้งจากจีน จากประเทศเอเชียที่มีคนติดเชื้อหลักพัน หรือยุโรป ที่มีผู้ติดเชื้อหลักร้อย ยังสามารถเดินร่อนไปมาอยู่แถวราชประสงค์ สยาม สีลม สุขุมวิท เชียงใหม่ ภูเก็ต จนเอาเชื้อไปแพร่ต่อพ่อค้าแม่ค้า คนขับรถรับจ้าง อีกหลายคน จากการที่รัฐบาลยังปล่อยให้คนเหล่านี้เข้ามาตามปกติ ก็ทำให้ผู้เข้าข่าย “เฝ้าระวัง” มากขึ้น โรงพยาบาล-เจ้าหน้าที่ ก็ทำงานหนักขึ้น ตามไปอีก

ปัญหาก็คือ แทบไม่มีการสนับสนุนใด ๆ จากกระทรวงสาธารณสุข ทั้งในด้านการจัดกำลังคนเพื่อให้เหมาะสมกับหน้างาน การจัดระบบคัดกรองที่เข้มงวดขึ้น และที่สำคัญ ชุดป้องกันเชื้อ PPE ชุดตรวจเชื้อ หรือกระทั่งหน้ากากอนามัยสำหรับบุคลากร ก็ยังไม่เพียงพอ

หลายโรงพยาบาล เบิกหน้ากากได้เวรละ 1 ชิ้น บางโรงพยาบาลต้องทำหน้ากากผ้ากันเองเพื่อแจกบุคลากร แต่ “เสี่ยหนู” กลับนำหน้ากากที่บอกว่า “เหลือ” จากการแจกบุคลากร ไปแจกประชาชนฟรีๆ..

ขณะเดียวกัน ในมุมมองสาธารณชน ก็เห็นตรงกันว่ารัฐบาลชุดนี้ และกระทรวงสาธารณสุขเอง ไม่ได้บอกความจริงกับประชาชนมากพอ

เพราะในขณะที่ประเทศอื่นบอกอย่างละเอียดว่า คนไข้แต่ละราย ติดเชื้อที่ไหน จากกิจกรรมอะไร เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัว และระมัดระวัง “กิจวัตรประจำวัน” บางอย่าง ที่อาจสุ่มเสี่ยงต่อการติดโรค

แต่ในบ้านเรา แทบไม่รู้เลยว่า แต่ละคนติดเชื้อจากใคร จากสถานที่ใด จากกิจกรรมอะไร รู้เพียงแต่ว่าคนไข้เข้าโรงพยาบาลไหนเท่านั้น...

เมื่อยิ่งไม่รู้ ข่าวลือก็ยิ่งกระจาย ยกตัวอย่างเช่นผู้ติดเชื้อรายที่ 42 ที่บอกว่าเป็นพนักงานขายที่ใกล้ชิดกับชาวต่างชาตินั้น ถูกลือว่าเป็นพนักงานแทบจะทุกห้าง โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าทำงานที่ไหน

แต่ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ แทบไม่มีใครรู้ว่ารายที่ 42 ติดเชื้อจากใคร และผู้ติดเชื้อที่แพร่ให้ผู้เคราะห์ร้ายรายที่ 42 นั้นก็เดินทางไปไหนต่อไหนแล้ว

จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ หากประเทศไทยจะประกาศตัวเข้าสู่ “ระยะ3” ของการระบาดในอีกไม่นานนี้

สิ่งที่ชัดเจนอีกอย่างก็คืออนุทินนั้น “มีปัญหา” กับการรับมือในสถานการณ์วิกฤต คำพูดของอนุทิน ไม่เคยสร้างความเชื่อมั่นได้กับทั้งข้าราชการระดับน้อยใหญ่ของกระทรวง และกับประชาชนทั่วไป

หนึ่งในตัวอย่างที่ดีก็คือการโพสต์ประกาศเรื่องพื้นที่เสี่ยง 9 ประเทศ แล้วระบุว่า คนที่เดินทางจากประเทศเหล่านี้ ต้อง “กักกันตัวเอง” 14 วัน แล้วในเวลาต่อมา ก็ต้องรีบ “ลบ” ประกาศ แล้วลบทั้งเพจออกไป โดยเจ้าหน้าที่ ต้องออกมารับหน้าแทน ยืนยันภายหลังว่า จะมีการแก้ไขบางอย่าง

หรือการออกมายืนยันว่า “หน้ากาก” ที่มีอยู่ในสต๊อกของหน่วยบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุขนั้นมีเพียงพอเหลือเฟือ ทั้งที่ในความเป็นจริง เหลือหน้ากากอีกเพียงน้อยนิด ไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าเข้า “เฟส 3” สมบูรณ์แบบ โรงพยาบาลน้อยใหญ่จะรับมืออย่างไร เพราะในขณะนี้แค่ให้บริการทั่วไป หน้ากากจะพอใช้ได้ถึงอาทิตย์หน้าหรือเปล่าก็ยังไม่รู้

แต่รัฐมนตรีสาธารณสุข ยังคงท่องคาถาว่าหน้ากากที่มีนั้นเพียงพอ...

ชัดเจนว่าอนุทิน ได้ใช้ “ต้นทุน” ของการเป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุด อันดับ 6 ของโลก ไปจน “เกลี้ยง” แล้ว

นั่นทำให้ข้อมูลของโรคนี้ ทั้งจริงและไม่จริง ถูกแชร์ต่อผ่านคำพูดของหมอคนอื่น ๆ และคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่หมอ มากกว่ารัฐมนตรี และมากกว่าจากรัฐบาล

แม้กระทรวงสาธารณสุขจะเป็นกระทรวงเกรดเอ มีงบประมาณเป็นลำดับต้น ๆ มี สส.เจ้าของมุ้ง ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาเป็นเจ้ากระทรวงอยู่บ้าง แต่ในช่วงหลัง รับรู้กันดีว่า กระทรวงนี้ “เจ้าที่” อย่างข้าราชการนั้น “ของแรง” รมว.สาธารณสุขส่วนใหญ่จึงเป็นหมอมาตลอด ซึ่งก็เป็นข้อดี เพราะเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน ที่ต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็วฉับไว หมอจะตัดสินใจได้อย่างรอบด้านกว่า

แต่อนุทินไม่ใช่หมอ และไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับวิกฤตแบบนี้ เสี่ยหนู เป็นรัฐมนตรีกระทรวงนี้ โดยมีวาระส่วนตัวหลายอย่าง กัญชาก็เรื่องหนึ่ง แบนสารพิษก็เรื่องหนึ่ง และเพิ่มค่าตอบแทน อสม. หาทางเพิ่มคะแนนเสียงให้กับภูมิใจไทย ก็เป็นอีกวาระหลัก

เมื่อเจอวิกฤตแบบโคโรนาไวรัส 2019 เสี่ยหนูจึงออกอาการ “เป๋” และหลายครั้งดูจะตัดสินใจไม่ทันการณ์ หลายเรื่องยึกยักไปมา และหลายเรื่องก็ไม่กล้าตัดสินใจ

ด้วยเหตุนี้คนในกระทรวงหมอหลายคนจึงรู้สึกผิดหวัง ที่เจ้ากระทรวงทำหน้าที่ได้ไม่สมบทบาท แม้จะมีตำแหน่ง “รองนายกฯ” นำหน้าก็ตาม

อย่างไรก็ตาม วิกฤตไวรัสจะยังไม่จบง่าย ๆ เสี่ยหนูจะยังมีเวลาแก้ตัวต่อไป และคงไม่มีใครไปไล่ หรือขอให้เปลี่ยนตัวรัฐมนตรี เพราะลำพังหน้างานในการต่อสู้กับไวรัสก็หนักหนาอยู่แล้ว

คนกระทรวงสาธารณสุข และคนนอกกระทรวงสาธารณสุข จึงได้แต่หวังว่าจะมีวันหนึ่งที่เสี่ยหนูจะแสดงภาวะผู้นำ และตัดสินใจอะไรบางอย่างที่ “เข้าท่า” มากขึ้นเสียที

#COVID19
.
Chotisak Onsoong แล้วแบบนี้คนสาสุขไม่คิดจะออกมาแฟรชม้อบกับบ้างเหรอครับ?