วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 06, 2562

ไม่พลาด นายกฯ ห้าร้อย ‘เผด็จการประชาธิปไตย’ แปลกใหม่ตะแบงมาร


ไม่พลาด ไม่ประหลาดใจ ไม่โอดครวญ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นนายกฯ จากการเลือกของผู้สนับสนุน ๕๐๐ คน อย่างขาดลอยแบบ เผด็จการประชาธิปไตย ตามระบอบการเมืองตะแบงมารไม่เหมือนใครในโลก

“ที่ประชุมรัฐสภาโหวตนายกรัฐมนตรีจากสมาชิกทั้งหมด ๗๔๗ เสียง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ ๕๐๐เสียง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ ๒๔๔ เสียง งดออกเสียง ๓ เสียง” นอกจากประธานรัฐสภาและรองฯ (ซึ่งเป็นประธานสภาตู่ตั้ง) แล้วมีสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ๑ คนหาญกล้าแตกแถว งด กับเขาด้วย

ช่วงเช้าของการประชุมเมื่อ ๕ มิถุนา มีดราม่าเล็กน้อย เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อภิปรายประกาศลาออกจากสมาชิกภาพ ส.ส. ซึ่งก็จะมีการเลื่อนคนต่อไปในบัญชีรายชื่อของพรรคเข้าไปทำหน้าที่แทน

กลายเป็นเรื่องชื่นชมว่าชาญฉลาดที่ไม่เสียที่นั่ง ส.ส.ของพรรค เนื่องจากเคยประกาศไว้ว่าจะไม่ร่วมสนับสนุนให้ประยุทธ์เป็นนายกฯ แต่มติพรรคออกมาหักดิบตนจึงต้องแสดงสัญญลักษณ์อะไรสักอย่างเพื่อรักษาหน้า

แทนที่จะลาออกจากพรรคก็เลือกลาออกจากสภา ไม่ต้องร่วมโหวตกับมติพรรคที่ขัดกับคำประกาศของตน แล้วยังไม่ต้องงดออกเสียงให้ขัดมติพรรค แบบนี้มีแต่ได้กับได้ ถึงอย่างไรพรรคมีหัวหน้าใหม่อยู่ในสภาแล้ว

ประสบการณ์นานพอดูของน้องม้าร์ค ทำให้รักษาธาตุแท้ของพรรคไว้ได้ ว่าบทบาทและการตัดสินใจมักตรงข้ามกับชื่อและหลักการเสมอ ประชาธิปัตย์ = อำนาจนิยม และ เสรีประชาธิปไตย = ร่วมรัฐบาลทหารเพื่อปิดสวิทช์รัฐประหาร

นอกจากการอภิปรายเรื่องคุณสมบัติในการเป็นนายกรัฐมนตรีอันเผ็ดมัน แต่ไม่ได้ทำให้ลิ่วล้อและสาวก คสช. ระคายเคืองแม้แต่น้อยแล้ว ยังก่อให้เกิดวาทกรรมแหวกครรลองภูมิปัญญาทางการเมืองสากล ซึ่งหาที่ไหนแบบนี้ไม่ได้ในโลก
 
เมื่อ เสรี สุวรรณภานนท์ วุฒิสมาชิกที่ทำงานรับใช้ คสช. มายาวนาน อภิปรายยกคุณงามความดีของประยุทธ์ว่าควรได้รับยกย่องเป็นนายกฯ ต่อไป แล้วถูก ส.ส.พรรคเพื่อไทย จิรายุ ห่วงทรัพย์ ขัดคอว่าพูดมาก พูดยาว พูดยกย่องเพราะ ชอบเผด็จการ

เสรีร้อนตัวกลัวคนเข้าใจถูกว่า เผด็จการ ไม่ดี จึงตอบว่า “สิ่งที่ท่านกล่าวหาผมว่านิยมเผด็จการ ผมนิยมเผด็จการประชาธิปไตย แต่ไม่ได้นิยมพวกประชาธิปไตยจอมปลอมครับท่านประธาน”


การประชุมอันเป็นประวัติศาสตร์รัฐสภาไทยที่ไม่ยึดมาตรฐานครรลองสากล ยังมีดราม่าหลังประชุมอีกด้วย เมื่อ สว.ตู่ตั้งอีกคนเก็บประสบการณ์ “วันแรกในสภา” ไปรำพึงรำพันบนหน้าเฟชบุ๊ค “นึกย้อนมาถึงวิชาแพทย์”

รู้กันแล้วนะว่า คุณหญิงนางนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญนิติวิทยาศาสตร์ เก่งกาจขนาดวินิจฉัยเครื่องตรวจระเบิดที่ศาลอังกฤษตัดสินแล้วเป็นของปลอม ว่ามีคุณภาพเหมาะสมกับการใช้ในกองทัพไทย และยังเคยวินิจฉัยแผลเหวอะจากระบิดปิงปองว่าเกิดจากแก๊สน้ำตาด้วย

 
คุณ นางแพทย์หญิง พรทิพย์ โรจนสุนนันท์ เขียนตำหนิเครื่องแต่งกายของ น.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ว่า “ธรรมเนียมของชุดไว้ทุกข์คือสีดำทั้งชุด การแต่งกายเช่นนี้ไม่ตรงธรรมเนียมปฏิบัติ”

ทั้งนี้เนื่องจาก สาวช่อสวมใส่แพ้นท์ซุทยี่ห้อโพเอ็ม “แจ็คเก็ตแบบกระดุมคู่ ไล่สีแบบออมเบร ขาว-ดำ คู่กับกางเกงขากระบอกสีดำเข้าเซ็ตกัน” ดูฟู่ฟ่าไปหน่อย คุณ นพ.หญิงเลยเม้นต์ว่า “วาระนี้ไม่ใช่การแต่งกายทั่วไป ส่วนแรกการไม่ใส่สีเหลืองมันก็บอกนัย ส่วนที่สองที่มีการกำหนดให้ไว้ทุกข์และก็ไม่ไว้ทุกข์”
 
นางอ้างว่าเวลานี้ต้องต้องแต่งกายไว้ทุกข์ประธานองคมนตรีที่ล่วงลับ กับเฉลิมพระเกียรติกษัตริย์ (นัยนี้ตีความได้ว่าต้องใส่เหลืองกับดำ) แต่การใส่สีบนขาวล่างดำไม่เข้าข่าย ว่างั้น ส่วนกรณีสีผม” ของเธอเองที่มีคนเม้นต์กันตรึม “มันเป็นเรื่องคนละส่วนกับแนวทางเรื่องการไว้ทุกข์”

มิใยที่เจ้าตัวผู้ถูก วิจวกจะยันว่าการใช้เครื่องแต่งกายสีขาว-ดำ “เรียบร้อยเหมาะสมกับการเข้าประชุม...สาระสำคัญของวันนี้อยู่ที่การเลือกนายกรัฐมนตรีและการแสดงวิสัยทัศน์ เพราะประเทศไทยไม่มีนายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตยมา ๕ ปี ไม่ใช่มาให้ความสำคัญว่าใส่ชุดอะไร”

หากแต่ว่าคุณหมอหญิงยังยืนกรานวิจารณญานของหล่อนเหมือนว่ามีความวิเศษอยู่ในกมล (ทำนองเดียวกับของตุลาการไทย) ที่ล่วงรู้ล้ำลึกไปถึง “สิ่งที่กำลังคิดอยู่ภายใน”


โอ้ว่าอนิจจารัฐสภาไทย เสียงส่วนใหญ่ที่เลือก นายกฯ ห้าร้อยครั้งนี้มีแก่นสารอยู่ที่ สีเสื้อไม่ใช่สีผมและเป็น เผด็จการประชาธิปไตย ดังที่ อจ.รัฐศาสตร์ มธ. ประจักร ก้องกีรติ อ่อนใจ สอนหนังสือมากว่าสิบปี “เพิ่งเคยได้ยิน

...เป็นวาทกรรมแปลกใหม่ที่พิสดารโดยแท้”