ชินวัตร ‘หาย’ ฤๅจะสู้ ‘อยู่วิทยา’ หาย เพราะอะไรหรือ
ก็เพราะว่าคดีฆ่าคนตาย (เป็นตำรวจที่อยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่เสียด้วย)
ของนายวรยุทธ อยู่วิทยา มีอายุความ ๑๐ ปี เมื่อไรนำตัวมาดำเนินคดีได้ภายในสิบปีก็โอเค
ส่วนคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นคดีการเมือง
ที่ไม่มีอายุความ และศาล (การเมือง) สามารถพิพากษาผิดพร้อมกำหนดโทษ ‘ลับหลัง’
ผู้ต้องหาได้ เมื่อไหร่จำเลยไปปรากฏตัวต่อหน้าศาลเพื่อยื่นอุทธรณ์
เมื่อนั้นคดีจึงจะเริ่มใหม่จากจุดที่มีคำพิพากษาไว้
ฉะนั้น คดีอยู่วิทยาเจ๋งกว่า (ในอารมณ์อย่างเด็กแว้น)
โดยเฉพาะยิ่งเมื่อดูรายละเอียดการหายตัวของผู้ต้องหาละก็ ต้องร้องโอว สุดยอดกระบวนการบังคับใช้กฎหมายไตแลนเดีย
(ไม่ให้เรียก ‘กะลาแลนด์’ ก็ได้ครับคุณดี้)
ข่าวเอพีเพิ่งรายงานวานนี้ (๑ กันยา) มีเบาะแสของ ‘บอส’
ว่านายวรยุทธอยู่ที่ไหนครั้งสุดท้ายตอนต้นเดือนพฤษภาคมโน่นแน่ะ หลังจากที่เขาหายเข้ากลีบกระทิงแดงไปเมื่อ
๒๗ เมษายน วันที่ศาลนัดเห็นหน้าครั้งล่าสุดแล้วก็ชวดตามเคย เป็นหนที่ ๗
เขาล่องหนในเส้นทางระหว่างประเทศมาสี่เดือนได้แล้ว
จนกระทั่งวันนี้ (๒ กันยา) วันสุดท้ายของอายุความ “ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ถูกชน” หนึ่งใน ๒
คดีที่ยังค้างอยู่ (คดีขับรถเร็วเกินกำหนด อายุความแค่ปีเดียวหลุดไปแล้ว) อีกคดีอายุความ
๑๕ ปี เหลืออีก ๑๐ ปี
ข้อหา “ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” วีธีเขียนกฎหมายของไทย
นัยว่าเพื่อความกระชับแต่ ‘ดิ้นได้’
เยอะในทางปฏิบัติ แทนที่จะบอกง่ายๆ แบบประเทศอายุน้อยกว่า เช่นอเมริกา ‘premeditated
murder’ ฆ่าคนตายโดยเจตนา
ทั้งที่ผู้ถูกกล่าวหายืนกรานโดยไม่ยอมไปศาลมาตลอด ๕ ปีว่า “ไม่เจตนา”
หากแต่ผู้เคราะห์ร้ายถึงตาย ขับมอ’ไซค์ไม่ระมัดระวัง (หรือกระทั่ง ‘wreckage’
ระห่ำ) เอง จนไปติดอยู่ใต้รถเฟอรารี่คันหรูของเขา รถถึงได้ลากร่างไร้วิญญาน
ดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ไปเสียไกล
แรกเริ่มคดีตระกูลอยู่วิทยาได้ส่งหัวหน้า รปภ. ประจำบ้านไปรับสารภาพแทน
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลขณะนั้น “ไม่พอใจเพราะไปเอาตัวปลอมมามอบ”
ประกาศว่า “ยอมไม่ได้ที่จะปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเสียชีวิตไปฟรีๆ”
นอกจากจะไม่มีใครเอาตัวบอสไปดำเนินคดีได้แล้ว
พล.ต.ท.คำรณวิทย์เองก็ถูก สั่งเด้งจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อ คสช. ได้อำนาจ
และให้ พล.ต.ท. (ยศขณะนั้น) จักรทิพย์ ชัยจินดา เข้าดำรงตำแหน่งแทน
ได้ดิบได้ดีจนใกล้เกษียณ จะไปเป็นกรรมการยุทธศาสตร์ชาติในอีกไม่นานเกินรอ
เส้นทางหนีอย่างเอ้อระเหยของนายวรยุทธก่อนหน้าวันศาลนัดครั้งสุดท้าย
ดังที่เอพีแจกแจงไว้ (ก่อนที่เอพีนี่เองที่ตามไปดักเจอหน้าแฟลตของเขาย่านผู้ดีกรุงลันดั้น
จนทางการไทยสะดุ้ง ลุกขึ้นมาทำคดีอยู่วิทยา) ไปถึง ๙ ประเทศ รวมทั้งญี่ปุ่น สิงคโปร์และเดอะยูเค
แต่และแห่งแต่ละที่พักผ่อนล้วนแล้วแต่อยู่ในย่านหรู
ข่าวต่างประเทศเพิ่งเปิดโปงเมื่อเดือนที่แล้วว่าอยู่วิทยาทำธุรกิจโดยบริษัท
‘offshore’
ตามเกาะปลอดภาษีอยู่หลายแห่ง เฉพาะกรุงลอนดอนแห่งเดียวนั้น ‘อยู่วิทยา’ มีบ้านที่นั่น ๕ หลัง การเดินทางท่องโลกของบอสไม่จำเป็นต้องใช้พาสปอร์ตไทย
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการขอสัญชาติแห่งสำนักเฮ็นรี่และหุ้นส่วนบอกกับเอพีว่า
สำหรับพวกเศรษฐีระดับโลกและชนชั้นสูงไทยนิยมซื้อสัญชาติจากที่มีการเสนอขายโดยชาติเล็กๆ
ที่ต้องการรายได้เข้าประเทศ กันเป็นเรื่องธรรมดา
เค็น แกมเบิ้ล แห่งสำนักงานเอกชนรับปรึกษาด้านความมั่นคงไซเบอร์
ซึ่งมีหน่วยงานราชการและตำรวจหลายประเทศใช้บริการ ให้ข้อมูลกับเอพีว่า “ในประเทศไทย
เงินพูดได้ ผู้ที่หนีคดีถ้ามีแผนแยบยลและมีเส้นสายบนพื้นที่ย่อมหลุดเงื้อมมือเจ้าหน้าที่โดยง่าย
ผู้ที่มีทุกอย่างแบบวรยุทธต้องมีคนช่วยที่รู้ช่องทางดี”
ครั้งสุดท้ายที่พบว่าบอสเดินทางออกจากไต้หวันเมื่อต้นมิถุนา
นัยว่าจุดหมายสิงคโปร์ ทำให้เอพีเดาว่ากระทั่งเวลานี้ที่อินเตอร์โพลเพิ่งได้รับหมายจับเขาจากตำรวจไทย
(หลังจากหาคนแปลไม่ได้อยู่หลายเดือน แปลเสร็จติดระบบราชการ ‘red tape’ เพิ่งจะส่งออกเมื่อสื่อทวงถาม จนเพิ่งติดประกาศวันสองวันนี้)
วรยุทธอาจจะกบดานอยู่ภายในประเทศไทย ที่ใดที่หนึ่งหรูๆ
สักแห่งก็ได้ เพราะวรยุทธติดนิสัย ‘บอส’ (หรือ ‘brat’) โดยธรรมชาติของลูกอภิมหาเศรษฐี ต้องอยู่ต้องกินอย่างสุดเลิศ ต้องมีการจ้างวานบริวารรับใช้จำนวนมาก
คนเหล่านี้แหละที่จะปล่อยเบาะแสว่าเขาอยู่ที่ไหนออกมาจนได้
ขณะที่ระบบฐานข้อมูลและแอพพลิเกชั่นคอมพิวเตอร์ของทางการตำรวจไทย
“ไม่สมบูรณ์” ตามที่ผู้บัญชาการตรวจคนเข้าเมืองอ้าง แต่เอกชนคนเล่นโซเชียลมีเดียทุกวันนี้เทคโนโลยี่ก้าวหน้าอย่างไม่จำกัดฐานะทางการเงิน
คงไม่นานเกินไปกว่าที่จะมีใครสักคนโพสต์สเตตัสเข้าจนได้ ว่าเห็นบอสอยู่ที่ไหน
ทำอะไรที่นั่น สำราญเพียงใด ในเมื่อการค้นพบตัววรยุทธในกรุงลอนดอนโดยเอพี ก็ได้เบาะแสมาจากสื่อสังคมชาวบ้านธรรมดานี่แหละ