วันเสาร์, กันยายน 02, 2560

ชินวัตร ‘หาย’ ฤๅจะสู้ ‘อยู่วิทยา’ หาย

ชินวัตร หาย ฤๅจะสู้ อยู่วิทยา หาย เพราะอะไรหรือ

ก็เพราะว่าคดีฆ่าคนตาย (เป็นตำรวจที่อยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่เสียด้วย) ของนายวรยุทธ อยู่วิทยา มีอายุความ ๑๐ ปี เมื่อไรนำตัวมาดำเนินคดีได้ภายในสิบปีก็โอเค

ส่วนคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นคดีการเมือง ที่ไม่มีอายุความ และศาล (การเมือง) สามารถพิพากษาผิดพร้อมกำหนดโทษ ลับหลังผู้ต้องหาได้ เมื่อไหร่จำเลยไปปรากฏตัวต่อหน้าศาลเพื่อยื่นอุทธรณ์ เมื่อนั้นคดีจึงจะเริ่มใหม่จากจุดที่มีคำพิพากษาไว้

ฉะนั้น คดีอยู่วิทยาเจ๋งกว่า (ในอารมณ์อย่างเด็กแว้น) โดยเฉพาะยิ่งเมื่อดูรายละเอียดการหายตัวของผู้ต้องหาละก็ ต้องร้องโอว สุดยอดกระบวนการบังคับใช้กฎหมายไตแลนเดีย (ไม่ให้เรียก กะลาแลนด์ ก็ได้ครับคุณดี้)

ข่าวเอพีเพิ่งรายงานวานนี้ (๑ กันยา) มีเบาะแสของ บอสว่านายวรยุทธอยู่ที่ไหนครั้งสุดท้ายตอนต้นเดือนพฤษภาคมโน่นแน่ะ หลังจากที่เขาหายเข้ากลีบกระทิงแดงไปเมื่อ ๒๗ เมษายน วันที่ศาลนัดเห็นหน้าครั้งล่าสุดแล้วก็ชวดตามเคย เป็นหนที่ ๗


เขาล่องหนในเส้นทางระหว่างประเทศมาสี่เดือนได้แล้ว จนกระทั่งวันนี้ (๒ กันยา) วันสุดท้ายของอายุความ “ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ถูกชน” หนึ่งใน ๒ คดีที่ยังค้างอยู่ (คดีขับรถเร็วเกินกำหนด อายุความแค่ปีเดียวหลุดไปแล้ว) อีกคดีอายุความ ๑๕ ปี เหลืออีก ๑๐ ปี

ข้อหา “ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” วีธีเขียนกฎหมายของไทย นัยว่าเพื่อความกระชับแต่ ดิ้นได้ เยอะในทางปฏิบัติ แทนที่จะบอกง่ายๆ แบบประเทศอายุน้อยกว่า เช่นอเมริกา ‘premeditated murder’ ฆ่าคนตายโดยเจตนา

ทั้งที่ผู้ถูกกล่าวหายืนกรานโดยไม่ยอมไปศาลมาตลอด ๕ ปีว่า “ไม่เจตนา” หากแต่ผู้เคราะห์ร้ายถึงตาย ขับมอไซค์ไม่ระมัดระวัง (หรือกระทั่ง ‘wreckage’ ระห่ำ) เอง จนไปติดอยู่ใต้รถเฟอรารี่คันหรูของเขา รถถึงได้ลากร่างไร้วิญญาน ดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ไปเสียไกล

แรกเริ่มคดีตระกูลอยู่วิทยาได้ส่งหัวหน้า รปภ. ประจำบ้านไปรับสารภาพแทน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลขณะนั้น “ไม่พอใจเพราะไปเอาตัวปลอมมามอบ” ประกาศว่า “ยอมไม่ได้ที่จะปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเสียชีวิตไปฟรีๆ”

นอกจากจะไม่มีใครเอาตัวบอสไปดำเนินคดีได้แล้ว พล.ต.ท.คำรณวิทย์เองก็ถูก สั่งเด้งจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อ คสช. ได้อำนาจ และให้ พล.ต.ท. (ยศขณะนั้น) จักรทิพย์ ชัยจินดา เข้าดำรงตำแหน่งแทน ได้ดิบได้ดีจนใกล้เกษียณ จะไปเป็นกรรมการยุทธศาสตร์ชาติในอีกไม่นานเกินรอ

เส้นทางหนีอย่างเอ้อระเหยของนายวรยุทธก่อนหน้าวันศาลนัดครั้งสุดท้าย ดังที่เอพีแจกแจงไว้ (ก่อนที่เอพีนี่เองที่ตามไปดักเจอหน้าแฟลตของเขาย่านผู้ดีกรุงลันดั้น จนทางการไทยสะดุ้ง ลุกขึ้นมาทำคดีอยู่วิทยา) ไปถึง ๙ ประเทศ รวมทั้งญี่ปุ่น สิงคโปร์และเดอะยูเค แต่และแห่งแต่ละที่พักผ่อนล้วนแล้วแต่อยู่ในย่านหรู

ข่าวต่างประเทศเพิ่งเปิดโปงเมื่อเดือนที่แล้วว่าอยู่วิทยาทำธุรกิจโดยบริษัท ‘offshore’ ตามเกาะปลอดภาษีอยู่หลายแห่ง เฉพาะกรุงลอนดอนแห่งเดียวนั้น อยู่วิทยามีบ้านที่นั่น ๕ หลัง การเดินทางท่องโลกของบอสไม่จำเป็นต้องใช้พาสปอร์ตไทย

ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการขอสัญชาติแห่งสำนักเฮ็นรี่และหุ้นส่วนบอกกับเอพีว่า สำหรับพวกเศรษฐีระดับโลกและชนชั้นสูงไทยนิยมซื้อสัญชาติจากที่มีการเสนอขายโดยชาติเล็กๆ ที่ต้องการรายได้เข้าประเทศ กันเป็นเรื่องธรรมดา

เค็น แกมเบิ้ล แห่งสำนักงานเอกชนรับปรึกษาด้านความมั่นคงไซเบอร์ ซึ่งมีหน่วยงานราชการและตำรวจหลายประเทศใช้บริการ ให้ข้อมูลกับเอพีว่า “ในประเทศไทย เงินพูดได้ ผู้ที่หนีคดีถ้ามีแผนแยบยลและมีเส้นสายบนพื้นที่ย่อมหลุดเงื้อมมือเจ้าหน้าที่โดยง่าย ผู้ที่มีทุกอย่างแบบวรยุทธต้องมีคนช่วยที่รู้ช่องทางดี”

ครั้งสุดท้ายที่พบว่าบอสเดินทางออกจากไต้หวันเมื่อต้นมิถุนา นัยว่าจุดหมายสิงคโปร์ ทำให้เอพีเดาว่ากระทั่งเวลานี้ที่อินเตอร์โพลเพิ่งได้รับหมายจับเขาจากตำรวจไทย (หลังจากหาคนแปลไม่ได้อยู่หลายเดือน แปลเสร็จติดระบบราชการ ‘red tape’ เพิ่งจะส่งออกเมื่อสื่อทวงถาม จนเพิ่งติดประกาศวันสองวันนี้)

วรยุทธอาจจะกบดานอยู่ภายในประเทศไทย ที่ใดที่หนึ่งหรูๆ สักแห่งก็ได้ เพราะวรยุทธติดนิสัย บอส(หรือ ‘brat’) โดยธรรมชาติของลูกอภิมหาเศรษฐี ต้องอยู่ต้องกินอย่างสุดเลิศ ต้องมีการจ้างวานบริวารรับใช้จำนวนมาก คนเหล่านี้แหละที่จะปล่อยเบาะแสว่าเขาอยู่ที่ไหนออกมาจนได้

ขณะที่ระบบฐานข้อมูลและแอพพลิเกชั่นคอมพิวเตอร์ของทางการตำรวจไทย “ไม่สมบูรณ์” ตามที่ผู้บัญชาการตรวจคนเข้าเมืองอ้าง แต่เอกชนคนเล่นโซเชียลมีเดียทุกวันนี้เทคโนโลยี่ก้าวหน้าอย่างไม่จำกัดฐานะทางการเงิน

คงไม่นานเกินไปกว่าที่จะมีใครสักคนโพสต์สเตตัสเข้าจนได้ ว่าเห็นบอสอยู่ที่ไหน ทำอะไรที่นั่น สำราญเพียงใด ในเมื่อการค้นพบตัววรยุทธในกรุงลอนดอนโดยเอพี ก็ได้เบาะแสมาจากสื่อสังคมชาวบ้านธรรมดานี่แหละ