วันพุธ, สิงหาคม 17, 2565

นักการเมือง "อยู่เป็น" จะเป็นผู้นำแห่งความหวัง หลังประยุทธ์ ได้หรือไม่ ?



อยู่เป็น จากผู้นำแห่งความทุกข์ระทม ถึงผู้นำแห่งความหวัง?

อายุษ ประทีป ณ ถลาง
16 Aug 2022

1O1

พ้นจากเก้าอี้สิ้นอำนาจลงเมื่อไร ชาวบ้านร้านตลาดคงอนุโมทนาสาธุกันทั้งเมือง ทำบุญกรวดน้ำ ตีเกราะเคาะกะละมัง จุดพลุ จุดประทัดเฉลิมฉลองเอิกเกริกมโหฬาร

แต่ก็นั่นล่ะ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นที่รู้อยู่ว่ายกร่างหรือดีไซน์มาเพื่อพวกเขา แถมผลงานการตีความของศาลรัฐธรรมนูญแม่นยำช่ำชองขนาดไหน ฝีไม้ลายมือประจักษ์แก่สายตาเราท่านทั้งหลายเป็นอย่างดี

ประทานโทษเถอะ กี่ล้านบาทเอาขี้หมากองเดียวก็คงไม่มีไอ้บ้าหน้าโง่ที่ไหนหาญกล้าท้าพนันหรอกว่า เจ้าประคุณทูนหัว ท่านผู้นำ ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะสิ้นอำนาจพ้นจากเก้าอี้ แม้วันที่ 24 สิงหาคมนี้จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาครบ 8 ปีเต็มแล้วก็ตามที

ยิ่งให้เสียสละ เห็นแก่ประเทศชาติ ลาออกไปเองด้วยแล้ว คงต้องรอให้หมามีเขา เต่ามีหนวด เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับชายชาตินักรัฐประหารที่มีสมอง 84,000 เซลล์คนนี้

ถึงเฮงซวย ห่วยแค่ไหน ล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างไร สร้างความทุกข์ระทมให้กับประชาชนคนทั้งประเทศเพียงใด ภายใต้ระบอบปกครองที่เป็นอยู่ก็คุ้มกะลาหัว ไม่มีผู้ใดเลยที่มีศักยภาพเพียงพอจะสั่นคลอนเสถียรภาพความมั่นคงรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ ยกเว้นการเคลื่อนไหวของเยาวชน หนุ่มสาว คนรุ่นใหม่เมื่อปี 2563 ที่สั่นไหว เขย่าไปทั้งระบอบ ไม่เฉพาะรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชาแต่เพียงเท่านั้น

ระบบรัฐสภา ฝ่ายค้านนะหรือ เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซักฟอกปีละหน โดยได้แต่ขายฝันให้กับติ่งการเมือง คุยโม้โอ้อวดว่าจะเด็ดหัวคนนั้น จะสอยคนนี้ จะรื้อทลายนั่งร้าน สุดท้ายเหลวเป๋วไม่เป็นมรรคเป็นผล

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในอำนาจนานเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ประชาชนรู้สึกอัดอั้น อึดอัด ท้อแท้ สิ้นหวังมากขึ้นเท่านั้น

เป็นผู้นำแห่งความทุกข์ระทม บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลวไม่เป็นท่า ไร้ความสามารถในการสร้างความผาสุกแก่ชาวบ้านราษฎรไม่พอ กิริยามารยาท พฤติกรรมการแสดงออกยังใช้ไม่ได้

อารมณ์ของตัวเองแท้ๆ ยังควบคุมไม่ได้ ยังมีหน้ามาควบคุมอำนาจรัฐ บ้านเมืองไม่วิบัติหายนะได้อย่างไร

คำพูดคำจา ถ้อยแถลงแสดงความคิดอ่าน นอกจากจะหาสาระแก่นสารอะไรไม่ค่อยจะได้แล้ว ยังสะท้อนให้เห็นสติปัญญา วุฒิภาวะ ตัวตนที่แท้จริงซึ่งเต็มไปด้วยความดื้อด้าน เห็นแก่ตัว ไม่รู้จักพอ หลงในอำนาจวาสนาจนยากเกินเยียวยา

คนพรรค์ไหนกัน แทนที่จะแก้ไขกลับเอาแต่แก้ต่างแก้ตัว ปัดป่ายบ่ายเบี่ยง โทษโน่นโทษนี่ได้สารพัด ไม่โทษรัฐบาลก่อนก็โทษจำนำข้าว ไอ้นั่นเพราะโควิด ไอ้นี่เพราะเศรษฐกิจโลก

ล่าสุดมีอย่างที่ไหน ชาวบ้านร้องเรียนเรื่องน้ำมันแพง ต้องการให้นายกรัฐมนตรีแก้ปัญหาค่าครองชีพ พลเอกประยุทธ์กลับบอกว่า เอาน่า เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น อยู่ที่เราจะใช้ชีวิตกันยังไง ในช่วงนี้ต้องลำบากหน่อย ต้องอดทนหน่อย ผมก็อดทนนะ ไม่ได้ใช้จ่ายอะไรที่มันฟุ่มเฟือยเลย กินก็ปกติธรรมดากับเขา เที่ยวเตร่ ก็ไม่ได้ไปไหน เป็นนายกฯ ไปไหนก็ไม่ได้อยู่แล้ว ลำบาก ลูกน้องก็ห่วง อะไรทำนองเนี่ย

“ผมไม่เคยไปไหนมา 10 ปีแล้ว ทำงาน กลับบ้าน ตรวจเยี่ยม ประชุม หมดแล้วชีวิตผม ไม่บ่นอ่ะ เดี๋ยวคนไล่ออกอีก เล่าให้ฟัง เป็นนายกฯ มันไม่สบายนักหรอก”

ไปไหนมาสามวาสองศอก ถามช้างตอบม้า ถามหมาตอบควาย

มันเกี่ยวอะไรตรงไหนกับความอดทน พูดจาเหมือนไม่เข้าใจความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนเลยแม้แต่น้อย เปรียบเทียบได้อย่างไรกับชาวบ้านซึ่งหาเช้ากินค่ำ ผู้คนที่กำลังขัดสน ชักหน้าไม่ถึงหลัง ในขณะที่ตัวเองเงินเดือนเรือนแสน มีรถประจำตำแหน่งใช้ อยู่บ้านหลวงฟรี น้ำไฟจ่ายหรือเปล่าก็คงไม่

จริงอยู่ว่าปัญหาเศรษฐกิจปากท้องส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามมาด้วยสงครามรัสเซียรุกรานยูเครน กระนั้นก็ตามรัฐบาลไม่อาจปฏิเสธไปได้เลยถึงความผิดพลาดในการจัดทำและใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดิน ล้มเหลวในนโยบายกระจายรายได้ ไม่สามารถสร้างความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชนได้อย่างถ้วนหน้า นำมาซึ่งความเหลื่อมล้ำ และไม่เคยคิดที่จะแก้ไข ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวไปสู่สังคมรัฐสวัสดิการเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงในชีวิตให้กับคนส่วนใหญ่ซึ่งหาเช้ากินค่ำ ฯลฯ

ข่าวกองทัพซื้อรถยนต์หรูเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาสมาใช้ 30-40 คัน อ้างว่าเป็นรถควบคุมการสั่งการ, เซ็งลี้อาวุธยุทโธปกรณ์อีลุ่ยฉุยแฉกเพื่อหวังคอมมิชชัน, ตำรวจรีดไถ เรียกรับผลประโยชน์ ส่งส่วยซื้อขายตำแหน่งเป็นเรื่องปกติ เกิดปัญหาประจานขึ้นมาก็แค่สั่งย้ายผู้ปฏิบัติงานออกนอกพื้นที่เป็นการชั่วคราวเพื่อกลบกระแส, ข้าราชการระดับสูงเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่งคนละ 3-4 หมื่นบาท, โครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐมีนักการเมือง ข้าราชการประจำชักหัวคิวกิน 20-40% เป็นธรรมเนียมปกติ ฯลฯ

ระบอบแบบไหนกัน บางคนบางองค์กรจึงยิ่งใหญ่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ไม่ชื่นชอบความโปร่งใส ไม่ยินยอมให้มีการตรวจสอบ

ชนชั้นปรสิต ทำตัวเป็นทาก เห็บ หมัด รุมสูบทึ้งดูดกินเลือดเนื้อกันอย่างนี้ จะมีอะไรหลงเหลือไปถึงประชากรพลเมืองเล่า ชาวบ้านราษฎรจะลืมตาอ้าปากได้อย่างไร

เห็นแล้วว้าเหว่ สมเพชเวทนาชะตากรรมของประเทศชาติและประชาชน

ไม่แปลกเลยที่หลายคนจะเหลืออด โกรธแค้น ระเบิดความอัดอั้นด้วยแลเห็นบ้านเมืองถูกปู้ยี่ปู้ยำตำตา โดยทำอะไรไม่ได้นอกจากระบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูด การวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งอาจจะหยาบคายหรือม็อบรุนแรงไปบ้างในสายตาของคนบอบบาง

แต่เปรียบเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่ชนชั้นนำทำลงไปกับประเทศชาติบ้านเมือง

เคยพบเคยเห็นยุคไหนสมัยใดที่ผู้คนอวยยศ ค.ว.ย.ให้กับผู้นำประเทศตามท้ายรถกระบะ ด่าทอล้อเลียนชนชั้นนำด้วยศัพท์แสงชาวบ้าน ก็คงจะมีแต่ยุคนี้สมัยปัจจุบันนี่ละ ไม่เหลืออดเหลือทนคงไม่มีใครเขาทำหรอก

เยาวชน หนุ่มสาว คนรุ่นใหม่ออกมาเรียกร้องต้องการให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองให้เหมาะสมดีขึ้น ก็ไปจับกุมคุมขังเข้าคุกเข้าตะราง ใช้เงื่อนไขปล่อยชั่วคราวมาปิดปาก

กระทั่งทุกวันนี้ยังยกเอาโควิด-19 มากล่าวอ้างเป็นเหตุผลในการควบคุมประชาชน ต่ออายุประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ออกไปเรื่อยๆ ไม่รู้จักจบสิ้น

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ยั้งยืนยงมั่นคงด้วยประการฉะนี้นี่เอง ยากที่ลำพังชาวบ้านราษฎร สามัญชนเราท่านทั้งหลายจะไปเอาชนะคะคาน พลิกเปลี่ยนโชคชะตาอนาคตของประเทศชาติ

จะหวังพึ่งพานักการเมือง คนอย่างนายทักษิณ ชินวัตร นะหรือ ดูเหมือนว่าพร้อมที่จะต่อรอง ทำทุกวิถีทางเพียงเพื่อให้ตัวเองได้กลับบ้านเสียมากกว่าจะต่อสู้ให้กับประเทศชาติ ประชาชนอย่างจริงจัง

ก็คงตามประสาพ่อค้านักธุรกิจ ไม่เช่นนั้นคงเซ็งลี้สัมปทานจากรัฐไม่ได้หรอก

ช่างกล้าพูดได้เต็มปากว่า “ที่เด็กๆ กำลังออกไปเย้วๆ กันทุกวันนี้ เพราะเขามีความคิดเป็นของตัวเอง และเขาต้องการให้ความคิดเห็นของเขาเป็นที่รับรู้ได้ยิน บางทีได้ยินได้คุยแล้วเขาจบนะ แต่เรากลับเอาเขาไปขังคุกโดยไม่ให้ประกัน ซึ่งผิดอย่างแรงเลย ถ้าหากผู้ใหญ่ที่ใจกว้างมานั่งคุยแล้วอธิบายให้เขาฟังจนสิ้นกระแสความ เขาจะกลับมาเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ”

แลเห็นเยาวชน หนุ่มสาวเป็นพลเมืองร้ายไม่พอ ยังเพ้อเจ้อมองว่าความขัดแย้งในสังคมไทยระหว่างคนรุ่นใหม่กับชนชั้นนำซึ่งผูกขาดอำนาจการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เป็นเรื่องที่สามารถหาข้อสรุป จบลงได้ง่ายดายด้วยการพูดคุย อธิบายให้ฟังจนสิ้นกระแสความ

ทำราวกับความวิปริตผิดเพี้ยนของระบอบปกครอง หรือเผด็จการ ความไม่เป็นประชาธิปไตยสามารถอธิบายให้เป็นที่ยอมรับของคนรุ่นใหม่ได้

มิทันไร ยังไม่มีการเลือกตั้ง ไม่รู้เลยว่าใครแพ้ชนะก็สื่อสารผ่านคุณหนูผู้เป็นบุตรสาวตั้งแต่หัววันว่า “คุณพ่อตั้งใจว่า ถ้ามีโอกาสกลับประเทศไทย อยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน มีอะไรร่วมมือกัน ไม่ขัดแย้งกันเพราะพี่น้องกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจ สิ่งที่ตั้งใจให้เกิดขึ้นคือ ให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า ให้พี่น้องพ้นจากความทุกข์ยาก”

พร้อมเป็นตัวกลางประสานคู่ขัดแย้งให้หันหน้าเข้าหากันแลกเปลี่ยนกับการกลับประเทศว่างั้นเถอะ

หันไปดูนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ซึ่งประกาศตนพร้อมจะเป็นผู้นำแห่งความหวังให้กับทุกคน ก็แสดงท่าทีไม่ขอเป็นคู่ขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น สนุกสนานเพลิดเพลินไปกับการทำหน้าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทำงาน ทำงาน ทำงาน แก้ปัญหาจิปาถะให้กับชาว กทม. เสียมากกว่า

ความมุ่งมั่นตั้งใจเต็มร้อย ขยันขันแข็ง ไลฟ์สดได้ตั้งแต่เช้ามืด เดี๋ยววิ่ง เดี๋ยวลงพื้นที่ เดี๋ยวประชุม รับประทานอาหารกับคนเก็บขยะ-กวาดถนน เข้าร่วมกิจกรรมกรุงเทพกลางแปลง โชว์สเต็ปชมดนตรีในสวน ฯลฯ ต้องจริตหนุ่มสาว คนชั้นกลางเป็นยิ่งนัก

ดูหงอยๆ ไม่ค่อยกระฉับกระเฉง ทำงาน ทำงาน ทำงานไม่ออก ก็กรณีนายวรัญชัย โชคชนะ ยื่นหนังสือขอให้รื้อรั้วเหล็กรอบท้องสนามหลวง รื้อกระถางต้นไม้รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยออก ที่ได้แต่ขอรับเรื่องไว้พิจารณากับเหตุมือมืดดอดเปลี่ยนป้ายสะพานพิบูลสงคราม ย่านเกียกกายเป็นสะพานท่าราบ เชิดชูวีรกรรมกบฏบวรเดชซึ่งพยายามโค่นล้มรัฐบาลคณะราษฎรถวายอำนาจคืนกษัตริย์

ถึงวันนี้ก็ยังจับมือใครดมไม่ได้ เช่นเดียวกับกรณีมือเลวรื้อถอนหมุดคณะราษฎรกลางลานพระรูปทรงม้าและการอันตรธานหายไปของอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญหรืออนุสาวรีย์ปราบกบฏ กลางวงเวียนหลักสี่ ที่ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำ

ขณะที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้แต่บอกว่า “ก็รู้อยู่เลาๆ แต่อย่าไปพูดถึง”

เพียงแค่สองเดือนเศษของการดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แสดงให้เห็นแล้วว่าสามารถทำงาน อยู่ร่วมกลมกลืนไปกับระบอบได้เป็นอย่างดี

เป็นคนอื่นคงบอกว่า อยู่เป็น

คนดี อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ครบสูตรอย่างนี้ อนาคตอาจจะไกลไปถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้ก็จริง แต่จะใช่ผู้นำแห่งความหวังของคนทั้งประเทศหรือไม่ คงไม่ใช่