ไม่เข้าใจ ทำไม ‘ประยุทธ์’ จะอยู่ต่อแค่สองปี ตามที่ข่าวบอกว่า ‘ประวิตร’ หลุดปาก จะยืดเวลาทั้งทีทำไมไม่เอาสัก ๕ ปี สิ้นสมัยนี้แล้วต่ออีกสมัย สองปีนี่ครึ่งๆ กลาง เปลี่ยนม้ากลางศึกแล้วจะเอาใครมารับช่วงต่อเล่า ผู้นำอย่างนี้หายาก
ข้างบนจะเอาอะไรให้หมด ข้างล่างกดแล้วกดอีกเสียจน ความเหลื่อมล้ำกำเริบ การเอารัดเอาเปรียบโจ๋งครึ่ม ดูแต่กรณีผับสัตหีบที่ไฟไหม้ ไม่มีใบอนุญาต แถมตั้งในพื้นที่ต้องห้าม หนุ่มอายุ ๒๗ ปีที่ว่าเป็นเจ้าของ ถูกขังห้ามประกันกำลังจะกลายเป็นแพะ
ดูจากเพจ Amarat Chokepamitkul ตอนนี้เห็นตอผุดเป็นแถว “ที่โดนจับแค่หุ่นเชิดตัวเล็ก ๆ เบื้องลึกแล้วเจ้าของผับเป็นทหารเรือยศนาวาโท” เธอคุ้ยมาเปิดโปง “พื้นที่ตั้งผับ เป็นพื้นที่ของกองทัพเรือ ขออนุญาตตั้งเป็นร้านอาหาร
เขตทหารห้ามเข้า ฝ่ายปกครองเกรงใจ พรก.ฉุกเฉิน ทหารมีอำนาจเต็ม ทำไมไม่จัดการ” แล้วมีคนไปเสริม ว่า “ในพื้นที่สัตหีบทั้งหมด แม้แต่โฉนดทุกใบยังต้องให้ทหารเรือประทับตรา” ชาวบ้านประชุมกันแล้วไปขอไม่ต้องมีตราได้ไหม “ตอบว่าไม่ได้ มันสวยดี”
หรือเรื่องที่ ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนหนังสือ ‘ขุนศึก ศักดินา พญาอินทรี’ ถูกกรรมการสภามหาวิทยาลัยจุฬาฯ ‘ล่าแม่มด’ ตั้งกรรมการสอบวุ่น หาทางเล่นงานถึงขั้นจะถอดถอนวิทยานิพนธ์ ท้ายที่สุดมีกรรมการสภาฯ คนหนึ่ง จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ทนไม่ไหว
เขมรัฐ โอสถาพันธุ์ เป็นผู้ “อ่านงานวิชาการด้านสังคมศาสตร์อย่างไม่มีอคติ และกล้าหาญออกมายืนยันความถูกต้องในการตรวจสอบงานวิชาการ” เปิดโปงว่าคณะกรรมการตรวจสอบนั้น “มีปัญหา (ในการ) ใช้ข้อมูลเท็จมากล่าวหา”
เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าความอดทนของผู้คนซึ่งเคยเป็น ‘ไทยเฉย’ มีปลายปิดเหมือนกัน จิตสำนึกเบื้องลึกอันเป็น วิญญูชน ย่อมผุดออกมายามเมื่อความกดดัน มีมากและขยายวงกว้างเสียจนรับกันไม่ได้อีกแล้ว การที่ ‘รีจีม’ ทวนกระแส รังแต่จะลงเอยด้วยมิคสัญญี
ดูเหมือนกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หลุดปากว่าตู่จะอยู่อีกสองปีนั้น ขุนพลเฒ่าจ้าวแห่งความ ‘ไม่รู้ ไม่รู้’ ผู้นี้อาจใช้ประเด็นซึ่งพรรคเพื่อไทยเตรียมยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ การดำรงตำแหน่งนายกฯ ครบ ๘ ปี ว่าจะครบวันที่ ๒๔ สิงหานี้ไหม
โดยตีความว่าการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของประยุทธ์ เริ่มเมื่อรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ประกาศใช้ คือวันที่ ๖ เมษา ๒๕๖๐ ทำให้วาระ ๘ ปีของประยุทธ์ ไปหยุดในวันที่ ๕ เมษา ๒๕๖๘ ซึ่งถ้าตู่ได้เป็นแคนดิเดทนายกฯ อีกครั้ง แล้วมีคะแนนเสียงหนุนพอ
เป็นที่คาดหมายกันว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีทางวินิจฉัยเป็นอื่นนอกจาก ให้ครบวาระ ๘ ปี ในปี ๖๘ เพราะหน่วยเหนือของประยุทธ์ ยังไม่มีใครแทนได้เหมาะกว่าตู่ ขนาดรองเลขาธิการพรรค ปชป. ซึ่งอาจตั้งตารอร่วมรัฐบาลประยุทธ์อีก แนะให้เดินสายกลาง
‘สายกลาง’ นี่เป็นจริตที่ชมชื่นกันนักในแวดวงการเมืองแบบไทยๆ จริงๆ แล้วเป็นชั้นเชิงที่อ้างว่าไม่เอาทั้งสองทาง แต่เคียงข้างไปกับทั้งสองแนว รอจังหวะตนเองพุ่งลำหน้าไปโลด จึงเป็นได้ทั้ง ‘เหยียบเรือสองแคม’ และ/หรือ ‘แทงกั๊ก’
ปัญหาในคำพูดของประวิตรอยู่ที่จะยืดเวลาอีกสองปีไปทำไม อีกหนึ่งสำหรับเตรียมการให้พรรคที่สนับสนุนตนได้รับเลือกตั้งเยอะๆ หรือจัดที่ทางสำหรับงูเห่าเลื้อยมาเข้าร่วม เสร็จสรรพได้เรื่องแล้วอยู่แค่ปีเดียวต้องไปเสียแล้วตามสัญญา
แต่ก็ยังมีการตีความอย่าง สุดโต่ง ซึ่งไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เมื่อคำนึงถึงความเป็น ‘ศาลรัดทำนวย’ หากจะบอกว่าต้องใช้มาตรา ๑๕๘ ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ นับอายุความดำรงตำแหน่งเมื่อประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ ตาม รธน.ฉบับนี้
คือเริ่มนับตั้งแต่วันที่ ๙ มิถุนา ๒๕๖๒ ไปหมดอายุความวันที่ ๘ มิถุนา ๒๕๗๐ ตอนนั้นเหลือเวลารัฐบาลอีก ๑ ปี ให้รองนายกฯ คนใดคนหนึ่งขึ้นมาเป็นแทน และเตรียมการเลือกตั้งสมัยต่อไป อย่างนี้น่าจะลงตัวให้ประยุทธ์ได้เป็น ‘รัฐบุรุษ’ อีกคน
(https://www.matichon.co.th/politics/news_3496325, https://www.facebook.com/sorrayuth9115/posts/pfbid02dT5k และ https://prachatai.com/journal/2022/08/99965)