มาแน่แล้ว #ออมิครอน ถึงไทย สาธารณสุขยอมรับวันนี้ว่ามีผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ ๖๓ ราย ยังรอผลตรวจอีก ๒๐ ราย ทั้งยังพบ “คนไทยคนแรกที่ติดเชื้อภายในประเทศ” ไม่เคยเดินทาง แต่ติดจากสามีซึ่งเป็นนักบิน ทั้งคู่ฉีดแอสตร้าเซเนก้ากันแล้ว ๒ เข็ม
เป็นความคืบหน้าสถานการณ์โควิดในไทย ไปในทิศทางไม่ค่อยจะดีนัก ดังที่ Dr.K We Oberon @vaccinated_DK เชื่อว่า “อีกไม่นาน แตก” เนื่องจากเชื้อโควิดกลายพันธุ์ชนิดใหม่นี้เข้าไทย มากับผู้ที่ไปติดเชื้อในต่างประเทศ
“ประมาณว่ามาเครื่องบิน ตรวจเชื้อ Positive > ส่งคนที่ Positive กลับไปรักษาที่จังหวัดตัวเอง > ผลออกทีหลังว่าเป็นโอมิครอน > แต่คนอื่นที่มาเครื่องเดียวกันปล่อยกลับบ้านไปหมดแล้ว” ดังนั้นกรณีที่พบแล้ว ๖๐-๘๐ ราย อาจแพร่ต่อไปอีกเท่าตัวก็ได้
ในสหรัฐ ออมิครอนก็กำลังลุกลามอย่างรวดเร็วเป็นจำนวนแสน มลรัฐแคลิฟอร์เนียกลับมาบังคับให้สวมหน้ากากอีก หลังจากที่เริ่มผ่อนคลายเมื่อก่อนเทศกาล ‘แธ้งค์กี๊ฟวิ่ง’ ส่วนความรุนแรงของอาการป่วยยังประเมินไม่ได้
ศูนย์ควบคุมโรค หรือ ‘ซีดีซี’ แจ้งว่าอย่างน้อยๆ ผู้ที่ได้รับวัคซีนไฟ้เซอร์หรือโมเดอร์น่าครบ ๓ เข็ม จะช่วยให้ร่างกายต้นทานอาการป่วยร้ายแรงได้ วัคซีนยี่ห้ออื่นๆ ที่ฉีดกันไปแล้วไม่สามารถป้องกันติดเชื้อใหม่ แม้กระทั่งจอห์นสันแอนด์จอห์นสันก็ไม่รับประกัน
ในประเทศไทย หากสาธารณสุขยังสามหาวว่า “โควิดกระจอก” โดยไม่ทำแผนรับมือให้ดี การระบาดกลับมาขึ้นสูงอีกรอบละก็ จะเป็นปัญหายิ่งกว่าครั้งก่อนๆ โดยเฉพาะวัคซีนเข็มสามที่จะช่วยผ่อนปรนความรุนแรงอาการ ต้องเป็นชนิด mRNA
รมว.สาธารณสุข อนุทิน ชาญวีรกูล แจ้งว่า “เตรียมกลับมาใช้ State Quarantine หรือการกักตัวผู้เดินทาง ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และเสนอ ศบค.ให้ยกเลิกการเดินทางแบบ Test & Go เพื่อยกระดับการรับมือภายในประเทศ”
แม้นว่าเป็นแผนรับมือเบื้องต้น ซึ่งน่าจะเห็นผลได้ดี หากปฏิบัติอย่างจริงจัง ไม่มีลูบหน้าปะจมูก แต่ประเด็นชนิดของวัคซีนที่มีอยู่ในมือจะเป็นปัญหา ถ้ายังคงตั้งหน้าผลักดันวัคซีนจีน (ซิโนฟาร์ม) และชนิดที่เคยไว้โหนแล้วหกคะเมนไม่เป็นท่า (แอสตร้าฯ)
โควิดในไทยไม่ได้กระจอก (อย่างที่เขาหลอกลวง) หากติดตามสถิติผู้ ‘ป่วยและตาย’ จากไวรัสนี้ ตลอดเดือนที่ผ่านมา จำนวนลดลงจากเดือนก่อนๆ แต่ก็ยังคงตัวอยู่ในสัดส่วน ๓,๐๐๐/๓๐ เป็นอาการแผ่วอย่างเอื่อยๆ ที่พร้อมจะกลับมาโหมกระพืออีกได้
ข้อน่าเป็นห่วงอย่างหนึ่งคือ ในขณะที่เชื้อกลายพันธุ์เดลต้ายังไม่หมดสภาพลงง่ายๆ หากรับเชื้อออมิครอนเข้าไปมั่วด้วย ผู้เชี่ยวชาญโรคระบาดในสหรัฐบางคนเห็นว่า เป็นไปได้ที่เชื้อสองชนิดนี้จะช่วยกันโหมให้อาการป่วยหนักขึ้น
และที่ต้องห่วงยิ่งกว่าเป็นการลูบหน้าปะจมูก อันทำให้เกิดการระบาดระลอกแรกของไทย มาจากคลัสเตอร์ทหารจัดมวย ทั้งๆ ที่มีระเบียบป้องกันประกาศออกใช้แล้วในตอนนั้น แต่ทหารเสียอย่างดึงดันไปจนเป็นวิกฤตชาติ ป่านนี้ยังไม่หมด
นี่ทหารเอาอีก ขณะออมิครอนเริ่มปรากฏเป็นเมฆหมอกทมึน กองทัพบกยังเดินหน้าจัดฝึก รด.ภาคสนามที่เขาชนไก่ ไม่เพียงข้อโจมตีว่านี่คือช่องทางหางานทำเพิ่มเบี้ยเลี้ยง อย่างไม่แยแสภาระที่เกิดกับครอบครัวของพวกไอ้เณรทหารเกณฑ์
ค่าอาหาร ค่าสถานที่ ค่าฝึก ไปจนถึงค่าน้ำร้อนน้ำชา ทำให้กิจการ รด.อูฟูสำหรับทัพบก แต่หดหู่สำหรับพวกคนหนุ่มที่ถูกเกณฑ์ แถมคราวนี้มีพฤติกรรมเอาเปรียบและโยนบาปให้แก่ครอบครัวของทหารเกณฑ์ ด้วยการกำหนดให้ผู้ปกครองเซ็นรับรอง
“ยืนยันว่า ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม ที่เกี่ยวกับการฝึกภาคสนาม ข้าพเจ้าจะไม่เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนใดๆ จากกองทัพบก” มันช่างลงตัวกับการแพร่ระบาดของ #ออมิครอน อะไรอย่างนั้น การฝึกภาคสนามเป็นการใช้ชีวิตร่วมกันของคนหลายร้อย พร้อมจะเป็นคลัสเตอร์ได้ง่าย
แล้วถ้า #เขาชนไก่ กลายเป็นคลัสเตอร์ใหม่ให้กับออมิครอนบ้างล่ะ ความผิดพลาดแบบเดียวกับ #คลัสเตอร์สนามมวย ก็จะวนลู้บกลับมาเป็น ‘Déjà vu’ ก่อความเสียหายร้ายแรงแก่ชาติและประชาชนอีกรอบละหรือ #ทหารมีไว้ทำไร