สลายชุมนุม ๓-๔ ครั้ง จาก ๗ สิงหามาถึง ๑๑ สิงหา เป็นที่ยืนยันแจ่มแจ้งว่า ตำรวจภายใต้รัฐประยุทธ์ตั้งใจ ‘ทำร้าย’ ประชาชนแน่นอน ดัง ‘ข้อสรุป’ ของ Sunai@sunaibkk ว่า “รัฐใช้ความรุนแรง...ไม่ว่าผู้ชุมนุมจะสงบสันติแค่ไหน หรือกลุ่มไหนจะเป็นแกนนำ...
เพื่อไม่ให้เกิดการยกระดับรวมตัวประท้วงแบบปีที่แล้ว” ยืนยันด้วยคลิปและภาพนิ่งมากมายจากเหตุ “สลาย #ม็อบทะลุฟ้า ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” ไม่ว่ากรณี “ประชาชนวิ่งหนีแล้วยังยิงอี” หรือการที่ คฝ.ตีมอเตอร์ไซค์ล้มคว่ำ ตีซ้ำเข้าไปอีก
รวมทั้งกรณีชายวัยกลางคนขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน หลังการชุมนุมสงบ ก็ยังไม่วายถูก คฝ.จู่โจม ฟาดด้วยกระบองหน้าแตก เลือดกบ ตาข้างหนึ่งบวมเป่งช้ำหนอง “ตอนแรก คฝ.กันนักข่าวออกทั้งขู่ทั้งกระชากกล้อง แต่นักข่าวตามไปสัมภาษณ์ทีหลัง
ลุงบอกว่าตำรวจห้ามไม่ให้ขึ้นรถพยาบาล ถ้าไปโรงพยาบาลแล้วบอกว่าโดนอะไร ลุงจะโดนจับ” หรือการจับ ‘ป้าเป้า’ นางวรวรรณ แซ่อั้ง วัย ๖๗ ปี เจ้าของฉายา ‘เครื่องด่า-มหาเทวี’ ฉุดลากไป บช.ปส. ตั้งข้อหา “ร่วมกันทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน
โดยมีหรือใช้อาวุธ” เสียด้วย ทนาย นรเศรษฐ์ นาหนองตูม @Norasate_Lawyer โพสต์เล่าว่าตำรวจควบคุมตัวป้าไว้ ๒ คืน “และจะนำไปฝากขังที่ศาลอาญาวันศุกร์ที่ ๑๓ ส.ค.” ป้าโต้กับตำรวจกลางกองบัญชาการ “ใครตั้งข้อหาว่ามีอาวุธ กูมีแต่หีกับแตด”
นอกจากนั้นคลิปหลักฐานตำรวจใช้คนของตนเข้าไปแทรกอยู่ และทำตัวเป็นผู้ชุมนุม มีการเผารถกระบะตำรวจอีก ซึ่งคราวนี้มีภาพจากคลิปยัน “หลักฐานคามือ...เผารถตำรวจ” ซึ่ง @AAmornsrisang โพสต์บาลีบรรยายว่า “ที่ลับของผู้ทำบาปกรรมไม่มีในโลก”
อีกราย หลายคนจับภาพเคลื่อนไหว ระหว่างเผชิญหน้าแนวกำลังตำรวจกับผู้ชุมนุม ชายคนหนึ่งสวมหมวกขาววิ่งจากหมู่ผู้ชุมนุมเข้าไปหลบอยู่ในแนวหลังกำลังตำรวจ ทั้งหมดนี้สมกับที่ป้ายกร๊าฟฟิตีบนผนังแห่งหนึ่งใกล้บ้านพักประยุทธ์ระบุ
“กูขอสันติ มึงให้สงคราม” มันพ้องกับข้อเขียนบนหน้าโซเชียลของ พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ที่ว่า “Vive la revolution!...ทุกที่ที่รัฐใช้ความรุนแรงกับ ปชช. ผลมีสองอย่าง ส่วนใหญ่บานปลายเป็นจลาจลและรัฐรักษาอำนาจไว้ด้วยการฆ่าหมู่ ปชช.ครั้งใหญ่”
ไม่เช่นนั้น “ส่วนน้อย (เกิด) การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือกระทั่งเปลี่ยนระบอบ” เนื่องเพราะ “ความรุนแรงจากฝ่ายรัฐมีแต่จะทำให้ผู้คนยิ่งโกรธแค้น ผลด้านกลับคือจำนวนคนที่เผชิญหน้ากับจนท.จะมีมากขึ้น การปะทะกันจะยิ่งบานปลาย”
มันเกิดให้เห็นทั้งในม็อบ ๑๐ สิงหา และ ๑๑ สิงหา เมื่อตำรวจ “เปลี่ยนมาใช้กำลังรุนแรงเข้าสลายการชุมนุมตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม ไม่ให้มวลชนระดมกันมาทันและรวมตัวกันติดจนเป็นก้อนใหญ่ ยิ่งกว่านั้น ให้จนท.เพิ่มระดับความโหดเหี้ยมกระหาย”
เช่นกันกับการเรียกร้องของเหล่าเยาวชน ให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่ง อานนท์ นำภา นำมาฟื้นความจำถึงข้อเสนอ ๑๐ ประการครบ ๑ ปี ๓ สิงหา จากที่ รุ้ง-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล เป็นผู้ขึ้นปราศรัย ณ เวทีชุมนุมธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
อานนท์บอกว่าขณะนี้มีทาง ๓ แพร่งให้เลือก จะกลับไปหาระบอบสมูรณาญาสิทธิราช “ถวายพระราชอำนาจและพระราชทรัพย์” ไปให้หมดเหมือนก่อนอภิวัฒน์สยาม ๒๔๗๕ หรือจะเป็นประชาธิปไตย ที่กษัตริย์เป็นกลางและอยู่นอกเหนือทางการเมืองแท้จริง
ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นแบบสาธารณรัฐ ซึ่ง “การปกครองแบบคนเท่าเทียมกันทุกคน เลือกตั้งโดยตรง ไม่มีเทวดา มีรัฐสวัสดิการ ทุกคนเป็นเจ้าของ” แน่นอน นั่นทำให้อานนท์ถูกถอนประกันสูญสิ้นอิสรภาพอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับแกนนำอื่นอีก ๘ คน
อันจะเป็นดั่งสุมไฟให้ประเด็น ‘กษัตริย์’ ร้อนผ่าวต่อไปอีก จนกว่าจะมีการราดน้ำมันเข้าใส่ในที่สุด ยังดีที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล แห่งคณะก้าวหน้า เปิดเนื้อหาการยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หมวด ๒ เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ออกมา
ร่างฯ อันจะเป็นพิมพ์เขียว สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภา เมื่อมีการเข้าชื่อเรียกร้องกันอีกในอนาคต ให้ชัดเจนเป็นรูปธรรมว่าประชาชนต้องการอะไรจากสถาบันกษัตริย์ ปิยบุตรบอกว่าร่างฯ นี้สะท้อนข้อเรียกร้องต่างๆ ของเยาวชนเอาไว้หมด
อีกหลายกรณี ให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการกำหนด เช่นการสืบราชสันตติวงศ์ การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และการเสนอนามรัชทายาท อีกทั้ง ยกเลิกการลงพระปรมาภิไธยแต่งแต่งข้าราชการ และยกเลิกพระราชอำนาจยับยั้งร่างกฎหมาย
เนื้อหาร่างเหล่านั้นอาจถูกมองจากไพร่ฟ้าหน้าใสฝ่ายสลิ่มว่า เป็นอีกก้าวของการ ‘ล้มเจ้า’ แต่ว่าแก่นแท้กลับเป็นการปฏิรูป “เพื่อรักษาสถาบันกษัตริย์” เอาไว้อยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตย ต่างหาก
(https://www.facebook.com/PiyabutrOfficial/posts/3076450455972150, https://prachatai.com/journal/2021/08/94277, https://www.facebook.com/themomentumco/posts/2762534814038205 และ https://www.facebook.com/NationOnline/videos/993022098185276/)