‘ผู้กำกับโจ้’ นี่น่าจะเส้นไม่ถึงตู่หรือป้อม ไม่อย่างนั้นก็คนละสายกัน อาจไปทางจิตอาสาปลายแถว เขาไม่ยี่หระ ทำให้ ‘บิ๊กปั๊ด’ ประกาศตัดเนื้อร้ายตามที่นายตู่สั่ง อุทาหรณ์ไม่ใช่ทำผู้ต้องหาตายแล้วหนีไม่พ้น แต่อยู่ที่ถึงเวลาแล้ว ‘เสียงชาวบ้าน’ ทั้งชาติต้องได้ยิน
คดี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล ฆ่าผู้ต้องหายาเสพติด ด้วยการคลุมหัวรัดด้วยถุงพล้าสติกระหว่างสอบสวน เค้นให้ยอมจ่าย ๒ ล้านแทนที่ตกลงไว้ ๑ ล้าน จนผู้ต้องหาหมดลมหายใจไปต่อหน้าขณะสองมือถูกพันธนาการไพล่หลัง
เรื่องเกิดแล้ว ๒๐ วันถึงได้ฮือฮา หลังจากพวกลูกน้องทำเรื่องรายงาน เพราะหวาดหวั่นว่าพวกตนจะไม่ได้รับความปลอดภัย ซึ่ง ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ผู้ได้รับคลิปเหตุการณ์แล้วนำออกแพร่สาธารณะ เล่าว่า
“ผมได้รับคลิปนี้มาจากตำรวจชั้นผู้น้อย ขอให้ผมช่วยนำคลิปนี้มอบให้แก่ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฝากบอกผมว่าให้ช่วยตามคดีนี้ก่อนที่พวกตนจะถูกฆ่า ผมได้เห็นคลิปนี้แล้วพูดไม่ออก นี่เป็นสิ่งที่ทำกับคนด้วยกันเหรอ” ใช่ ถ้าคนทำ
ผกก.กลับตะโกนกลับดังลั่น “ได้ยินกันหลายคน” (ในที่นั้น ซึ่งเรียกกันว่า ‘บ้านกาแฟ’ “รู้กันดีในหมู่ตำรวจนครสวรรค์ ว่าเป็นเซฟเฮ้าส์ของสายสืบและเป็นสถานที่รีดข้อมูล”) “ล้านเดียวจะไปพออะไร...เรียกมันสองล้านซิว่ะ พวกมึงไม่ได้เรื่อง เดี๋ยวกูเอง”
จึงได้ไปสู่การที่ผู้กำกับ ‘เส้นใหญ่-ไฮโซ’ เอาถุงคลุมหัวผู้ต้องหาชายหายใจไม่ออก ตายคามือ ตามความเล่าของลูกน้องทบทวนเบื้องหลัง “ตอนที่ท่านมารับตำแหน่งใหม่ๆ พวกผมแอบดีใจ...ผกก.แกเป็นคนรวย มีฐานะดี ขับรถเฟอร์รารี่
อยู่ในสังคมไฮโซ เคยมีแฟนเป็นดารา...แถมยังเป็น ‘จิตอาสาพระราชทาน’ รุ่นแรกอีกด้วย” อันนี้ Thanapol Eawsakul ระบุว่าเป็นจุดร่วมเดียวกันกับ “ประสิทธิ์ เจียวก๊ก นักต้มตุ๋มพันล้าน” ซึ่งกว่าจะได้ฮือฮา ก็ใช้เวลาเนิ่นนานเหมือนกัน
กรณี ‘โจ้ เฟอร์รารี่’ นั่นเหตุเกิดวันที่ ๕ สิงหา มีรายงานชันสูตรผู้ตายออกมาเมื่อ ๖ สิงหา “สันนิษฐานว่า พิษจากสารแอมเฟตามีน” เสียนี่ บนเอกสารนั้นเห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขียนด้วยลายมือสองแบบ รายละเอียดส่วนใหญ่ลายมือเอียงหน้า แต่ส่วนที่ระบุยาเสพติดเขียนตัวตรงดี
เหตุนี้ละมัง คนปล่อยคลิปถึงบอกว่ากลัวตาย เมื่อเห็นการบิดเบือนหลักฐานแล้วหน่วยเหนือนิ่งเฉยมาตลอดเกือบยี่สิบวัน พอคลิปออกเท่านั้น “สำนักงานตำรวจแห่งชาติเต้นทั้งยวง” นิรันดร์ สุระภักดิ์ เก็บมาเล่าอีกคนว่า เลวกว่าตำรวจอเมริกันเอาเข่ากดคอชายผิวดำถึงตาย
ถึงเวลานี้มีคนสันนิษฐานว่า ผ่านมาวันเดียว ‘ผู้กำกับโจ้’ ป่านนี้เผ่นไปกบดานอยู่ในลาวแล้ว แม้นว่า พล.ต.ท.อภิชาติ ศิริสิทธิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๖ “เซ็นคำสั่งย้ายผู้กำกับโจ้ แฟนหนุ่มของลูกสาวหลังเกิดเหตุการณ์ #ห้องส่องทางไกล เกาะติดประเด็นนี้”
เอ๋ ไหงมันพัลวัลพัลเกไปใหญ่ จากที่ ข่าวปนคน คนปนข่าว ขุดคุ้ย ผกก.ไม่ธรรมดาคนนี้นอกจากมีแฟนเป็นดารา ผู้ประกาศข่าวบันเทิงช่อง One 31 นามหน้าจอคือ ‘ใบเตย พรพจี’ เป็นลูกสาว ผบ.ภ.๖ แล้ว ยังทำธุรกิจนำเข้ารถสปอร์ตหรู เป็นไซ้ด์ไลน์ด้วย
‘ผู้กำกับโจ้’ เลือกซื้อรถหรูจากมาเลเซียเพราะราคาถูกกว่าไทย “ซูเปอร์คาร์ ทั้ง ลัมบอร์กินี ปอร์เช่ เฟอร์รารี่ BMW และยี่ห้อดังอื่นๆ” โจ้ซื้อแล้วมีการลักลอบนำเข้า แต่พอโดนจับหาตัวคนนำเข้าไม่ได้รถถูกศุลกากรยึดไป แล้วนำออกประมูลขายทอดตลาด
ทำอย่างนี้แต่ละคันสามารถทำกำไรกว่าเท่าตัว ยกตัวอย่างซื้อบีเอ็มราคา ๔ แสนในมาเลเซีย ราคาประมูลขากศุลกากรร ๒ ล้าน ในฐานที่โจ้เป็นคนให้เบาะแสการลักลอบนำเข้านี้ จะได้รางวัลนำจับและค่าสายข่าว ๔๕% ของราคาประมูล คือ ๙ แสน
เท่ากับโจ้ได้กำไรกับรถคันนี้ ๕ แสน “ช่วงพี้คๆ กรมศุลฯ จัดประมูลรถลักษณะอย่างนี้ทุกเดือน เดือนหนึ่งก็ราวๆ ๔๐๐ คัน ว่ากันว่าเป็นรถในเครือข่ายของผู้กำกับโจ้เสีย ๕๐%” ฉะนั้นหนึ่งเดือนโจ้มีรายได้ ๑๐๐ ล้าน แต่งานใหญ่อย่างนี้ต้องอาศัยหลายประสาน
จากข้อสันนิษฐานของ Atukkit Sawangsuk ที่ว่าโจ้จะเอาสองล้านในคดียาเสพติดนั่น “มันไม่ใช่เรื่องของตำรวจคนเดียว มันคือองค์กรตำรวจ สถาบันตำรวจซึ่งมีอำนาจมาก กระทืบม็อบได้ ยัดข้อหาได้...มันคงไม่เอาไว้เองคนเดียวหรอกน่า”
เดือนละ ๑๐๐ ล้าน มันต้องมีการเฉลี่ยเกลี่ยไปให้ศุลกากรบ้างละ รวมทั้งขว้างขึ้นข้างบนอีกต่างหาก คงไม่ตกหล่นลงไปข้างล่างเท่าไหร่ คนทั่วไปจึงได้ชมคลิปประวัติการณ์
(https://www.facebook.com/100318074970676/posts/352215259780955/, https://www.facebook.com/donotdostupidshit/posts/243784311085178 และ https://www.facebook.com/groups/340005703823106/permalink/585692052587802/)
