ทำผิดพลาดไปก่อน (สงสัยจะตามสั่ง) แล้วค่อย “น้อมรับ นำไปปรับปรุง” นั้นไม่พอนะ ในฐานะที่เป็น ปปช. องค์กรตรวจสอบการประพฤติมิชอบในแวดวงราชการ เข้าทำนองความผิดผู้อื่นเหลือหลาย ความผิดตัวเองหาไม่เจอ เถียงไปข้างคูเป็นศรีธนญชัย
ประเด็นข้อกฎหมายที่อ้างว่า “ไม่สามารถเปิดเผยได้” เพราะ “ไม่มีกฎหมายให้อำนาจ” ชี้แจงต่อสาธารณะ สถานะการเงินของรัฐมนตรี คนหนึ่งเป็นนายก อีกคนเป็นรองซึ่งงานรับผิดชอบหลัก ทำหน้าที่ ‘หัวหมอ’ ปัดป้องความผิดของหัวหน้า
ทั้งๆ ที่มีองค์กรเฉพาะเรื่องโดยตรง (กวฉ.) วินิจฉัยแล้วว่าทรัพย์สินของ ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับวิษณุ เครืองาม ที่แจ้งไว้ก่อนรับตำแหน่งครั้งที่สอง ต้องเปิดเผยออกมา อันเป็นความตามอำนาจ พรบ.ข้อมูลข่าวสารราชการ พ.ศ.๒๕๔๐
แต่ วัชรพล ประสานราชกิจ ประธาน ปปช. เอากฎหมายลูก เกี่ยวกับกรรมการป้องกันประพฤติมิชอบฯ มาหักล้างเสียนี่ อ้างมาตรา ๑๐๕ วรรคสี่ ไม่ยอมให้เปิดเผย บอก “เราเองยังตรวจสอบไม่ได้เลย” เฮ้ย หมายความว่ากฎหมายบังคับใช้แต่กับตัวเล็กตัวน้อยแค่นั้นสิ
แถไปว่า “การวินิจฉัยข้อกฎหมายของ กวฉ.กับ ป.ป.ช.อาจไม่ตรงกัน” หมายความว่าต่างคนต่างทำ แต่ละองค์กรว่าตามใจตัว ตีความตามที่พอใจ เหรอ สุภา ปิยะจิตติ กรรมการอีกคนช่วยแถ ว่าจะเปิดเผยได้ “เฉพาะที่กฎหมายเขียนไว้ให้เปิดเผยเท่านั้น”
กฎหมายอะไร กฎหมายที่คณะยึดอำนาจใช้ให้คนกลุ่มหนึ่ง เรียกว่า สนช. หรือก็คือสภานิติบัญญัติของ คสช. เขียนกฎหมายขึ้นมาเสริมอำนาจรัฐประหารว่า “นายกฯ รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. ฯลฯ หากเข้ารับตำแหน่งอีกครั้งภายใน ๓๐ วัน ไม่มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินใหม่”
บอกแต่ว่า “ไม่ห้ามที่ผู้นั้นจะยื่นไว้เป็นหลักฐาน” ซึ่งทั้งสองคนก็ได้ยื่น แล้ว ปปช.จะมาตีความว่าฉะนั้นไม่ให้เปิดเผย ไม่ได้ ในเมื่อ สนช.อาจเผลอไผลลืมเขียนว่า “ไม่ให้เปิดเผย” ในขณะที่ กฎหมาย ปปช.เดิมบอกไว้จะแจ้ง ว่ายื่นแล้วต้องเปิดเผยสาธารณะตรวจสอบ
ดังนั้นการที่วัชรพลพูดว่าเป็นเพีบง “การยื่นบัญชีทรัพย์สินเพื่อเป็นหลักฐาน เราจะตรวจสอบ ยังตรวจไม่ได้เลย มีหน้าที่แค่เก็บ” อย่างเดียวนั้น สติปัญญาชาวบ้านไม่ใช่หมอความเห็นแล้วต้องว่ามุสา และ/หรือ ปปช.บืดเบือนกฎหมาย
นี่ไม่รู้ว่า เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ บัตเล่อร์ พปชร. หรือ บริกรสาขาสองของคณะสืบทอดอำนาจ จะหาเรื่องฟ้องร้อง ชงให้มีการปิดสำนักข่าว The MATTER ผู้เป็นต้นตอเรียกร้องให้มีการเปิดเผยทรัพย์สินของประยุทธ์ และวิษณุ ด้วยไหม
พออวดรถเบ๊นซ์คันใหม่อีกคันที่เจ้านายให้เป็นของกำนัล เรืองไกรก็จัดการยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อกรรมการเลือกตั้ง ให้ยุคพรรคก้าวไกล อ้างว่าการที่พรรคนี้พรรคเดียวที่อภิปราย งบประมาณปี ๖๕ เสนอให้ตัดส่วนที่เป็นราชการในพระองค์ออกเสียบ้าง
จากเดิม ๘,๗๐๐ ล้านบาท ขอให้ตัดออกไปสัก ๓,๕๐๐ ล้านก็ยังดี แต่เรืองไกรกลับกล่าวหาว่า การอภิปรายให้เหตุผลในการขอตัดงบประมาณเหล่านั้น มีการนำไปเผยแพร่ทางสาธารณะ จงใจระบุว่า “ทำให้งบฯสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่โปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้”
เรืองไกรชงข้อหาอีกว่า “เชื่อได้ว่า พรรคก้าวไกลได้กระทำการอัน ‘อาจเป็นปฏิปักษ์’ ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ตามมาตรา ๙๒ (๒) เพราะ ส.ส.ก้าวไกลอภิปรายถึง “ความจงรักภักดี
ว่าไม่ได้วัดกันที่จำนวนหน่วยถวายรักษาความปลอดภัย จำนวนข้าราชบริพาร จำนวนซุ้มเฉลิมพระเกียรติ หรือการใช้ ๑๑๒ แจกจ่ายประชาชน” แค่นี้ใครๆ ก็เข้าใจได้ง่าย ว่าไม่เข้าข่ายตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ ในความหมายของรัฐธรรมนูญต่อการละเมิด
ทว่านั่นคือ Agenda หรือแผนการณ์กำจัดพรรคการเมืองที่กล้าแตะต้อง สะกิดต่อมความรู้สึกถูกเอารัดเอาเปรียบและกดขี่ ของประชาชน ดังที่ ธนาพล อิ๋วสกุล ชี้ให้เห็นว่าเข้าทำนองเดียวกับการชงยุบพรรคอนาคตใหม่เมื่อกลางตุลา ๖๒
ครั้งนั้น ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ๗๐ คน โหวตคัดค้านการออก พรก. “โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์”
การยุบพรรคอนาคตใหม่ไปสำเร็จเมื่อ ๒๑ กุมภา ๖๓ ด้วยข้อหาเงินกู้หัวหน้าพรรคให้พรรคยืมไปใช้หาเสียง การชงยุบพรรคก้าวไกล จะซ้ำรอยสำเร็จเมื่อไหร่ ด้วยข้อหาอะไร ไม่สำคัญมากไปกว่าพวกพ้องสืบอำนาจประยุทธ์ใช้วิธีการบิดเบือน
กำจัดพรรคการเมืองฝ่ายที่เปิดโปงความชั่วร้ายของพวกตน อำนาจพวกนี้มีมากล้นเสียจน พรรคการเมืองฝ่ายค้านอื่นหงอกันไปตามๆ
(https://www.prachachat.net/politics/news-744543, https://www.prachachat.net/politics/news-744543mc4s และ https://www.facebook.com/thematterco/posts/2974790112736371)