วันอาทิตย์, สิงหาคม 29, 2564

ประสบการณ์โควิดลงปอด การสูญเสียแม่ของเพื่อนและฆาตกรที่เรียกว่าการจัดการ


ภาพจาก News Medical

Pinyapan Potjanalawan
Yesterday at 8:05 AM ·

[ประสบการณ์โควิดลงปอด การสูญเสียแม่ของเพื่อนและฆาตกรที่เรียกว่าการจัดการ]
แชทกับเพื่อนสนิทที่เล่าให้ฟังเมื่อเช้า เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์เลยขอเอามาลงแบ่งเป็นประสบการณ์ครับ ทั้งที่เพื่อนและแม่เขาได้วัคซีนแล้ว (น่าจะ AZ แต่ภูมิน่าจะยังไม่ทันขึ้น ติดโควิดเสียก่อน)
...
อันแรกเลยนะ กูไม่มีเชื้อแล้ว ภูมิอาจจะดีมากด้วย แต่โควิดมันทิ้งอาการข้างเคียงเรียก “post-covid” หรือ “long-covid” แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน บางคนอาการแสดงนานเป็นเดือน บางคนเป็นปี
.
ของกูเป็นอาการเหนื่อยง่ายเพราะปอดโดนเล่นงาน ตอนเอกซ์เรย์ครั้งแรกใน hospitel ปอดโดนเล่นงานไปน่าจะร้อยละ 50 เพราะหมอโทรมาบอกว่าอักเสบระดับกลาง ตอนนี้ดีขึ้น แต่ยังต้องรอเวลาฟื้นตัว อาการอื่นก็มีเหน็บชา ต้องทานวิตามินบีแก้ อีกอาการคือผื่นคัน ต้องทานยาแก้แพ้ทุกคืน ก่อนนี้มีอาการปวดปัสสาวะบ่อยจนไม่กล้าทานน้ำ ดีว่าทุเลาไปเยอะ
.
อาการพวกนี้มาจากจุดอ่อนที่กูมีมาก่อน คือกูเป็นท่อปัสสาวะอักเสบ ก่อนติดเชื้อโควิด ยังมีเลือดไหลออกมาเลย แล้วกูเป็นภูมิแพ้ด้วย คันตามตัวเป็นบางครั้ง แต่ไม่มาก พอติดโควิด เชื้อมันไปโจมตีจุดอ่อนเหล่านี้จนเป็นอย่างที่เห็น
.
กูน่าจะติดวันที่ 25-29 มิถุนายน แต่มันเป็นสายพันธุ์เดลต้า (เดานะ) เพราะอาการบ่งชี้ไม่เหมือนที่เขาบอกกัน ทำให้เข้าใจว่าเป็นหวัดธรรมดา ยิ่งมาเป็นไข้ตอนหลังฉีดวัคซีนก็เข้าใจว่าเป็นผลข้างเคียงจากวัคซีน กูติด แม่ติด พี่สาวติด พี่เขยติด ลูกเขาสองคนติด ทุกคนลงปอดหมด ยกเว้นเด็ก ไม่รู้ด้วยว่าใครติดคนแรก เพราะมันดูเสี่ยงเต็มไปหมด
.
ตอนแม่กูอาการเริ่มเรื้อรัง พาไปตรวจรพ. ก็ตรวจไม่ได้ คิวยาวมากเกินไป แถมมีการตั้งป้ายว่าไม่รับตรวจโควิดให้แก่คนไข้ที่จ่ายเอง เว้นแต่ประกันสังคม สุดท้ายต้องพาแม่ซึ่งมีอาการค่อนข้างหนักไปคลินิกทั่วไป หมอแนะให้ไปตรวจโควิดที่รพ. แต่ตอนนั้นการจัดการมีปัญหาทั่วกทม. ไม่มีที่ไหนรับตรวจ ต้องพาแม่กลับมา ที่บ้านก็ยังเชื่อกันนะว่าแกไม่ได้เป็นเพราะไม่มีอาการไอหนักและยังได้กลิ่น แต่ผ่านไปไม่กี่วัน แกเหนื่อยจัดมาก สุดท้ายพาไปตรวจที่รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง หมอพาเข้าฉุกเฉินเลยเพราะออกซิเจนต่ำจนวิกฤต จึงได้รู้ว่าแม่ติดโควิด กูเองก็รู้ทันทีว่ากูติดด้วย พี่สาวกับพี่เขยด้วย ปอดแม่โดนเล่นงานไปร้อยละ 90 ทางรพ.ต้องรับแม่ตามกฎหมายเพราะเป็นคนไข้ฉุกเฉิน
.
หมอที่นั่นเก่งมากนะ เขารักษาจนเอาแม่ออกจากไอซียูได้ ปอดแม่สามารถฟื้นตัวได้ เชื้อน่าจะหมดแล้วด้วย แกเริ่มกลับคืนสู่ภาวะปรกติ หมอกับพยาบาลดีใจมาก เพราะถ้าเป็นข่าวคือรพ.มีชื่อเลยเนื่องจากกู้ชีวิตคนไข้จากจุดที่แทบจะสิ้นหวัง แต่เอาออกจากไอซียูได้วันเดียว แกหลับไม่ตื่นอีกเลย เอาไปสแกน พบว่ามีลิ่มเลือดในสมองมากกว่าร้อยละ 60 ปั๊มหัวใจ 15 นาทีก็ไม่กลับมา หมอบอกว่านี่เป็นเคสแรกที่หมอเจอว่าโควิดทำให้เกิดลิ่มเลือดในสมอง ปกติที่หมอจะระวังคือลิ่มเลือดในปอด ทำให้หมอพลาดตรวจสมอง อย่างไรก็ดีหมอให้ยาละลายลิ่มเลือดไปก่อนหน้าแล้วเพื่อป้องกันปอด มันก็ช่วยไม่ได้
.
ณ วันนี้ทางกูพอรู้แล้วว่าทำไมแม่ถึงเป็นแบบนั้น ก่อนหน้าติดโควิดสักครึ่งปี แกเป็นงูสวัด แม้หายแล้ว เชื้อไวรัสงูสวัดยังฝังตัวอยู่ มีเคสคล้ายกันในต่างประเทศ เป็นงูสวัดมาก่อน พอติดโควิด เจอลิ่มเลือดในสมองแล้วก็หลับไม่ตื่น เมื่อมาดูอาการของกูด้วย ก็สรุปได้ว่าโควิดไม่ได้โจมตีแค่ปอด แต่มันไปกระตุ้นอาการเจ็บป่วยเดิมของผู้ป่วย โลกยังต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเชื้อนี้อีกมาก
.
ตอนกูเข้า hospitel เหมือนนรกเลย ไปอยู่รวมกับคนที่ไม่รู้จักในห้องแอร์ เสื้อผ้าไม่ได้ซัก ผ้าปูผ้าห่มไม่ได้เปลี่ยน มีปัญหาเรื่องความสะอาด ยาก็ไม่ได้แจกกูด้วยนะทั้งที่กูมีอาการหายใจขาดช่วง พยาบาลบอกว่าออกซิเจนกูยังดี ทางรพ.จัดกูอยู่ในกลุ่มที่อาจรักษาตัวเองได้โดยไม่ใช้ยาฆ่าเชื้อ สองวันแรกกูอธิษฐานขอละร่าง เพราะทนไม่ได้ แต่โชคดีว่าตอนที่หมอโทรหา (ได้เข้า hospitel วันที่ 8 กค. หมอโทรหาคืนวันที่ 9 กูป่วยมาแล้วน่าจะ 10 วัน) กูบอกเขาว่ากูมีปัญหาการหายใจ เขาเลยตัดใจให้ยากูมา นอกจากหายใจติดขัด ยังมีอาการท้องเสียด้วย
.
แม่เข้ารพ.เอกชน วันที่ 3 กค. กูกับพี่ไปตรวจโควิดวันถัดมา ตระเวนหา ไม่ได้สักที เพราะคิวเต็ม สิ้นหวังมาก จนมารู้ว่าใช้สิทธิ์ประกันสังคมได้ จึงได้ตรวจที่รพ.ประกันสังคม กูได้ตรวจวันที่ 5 รู้ผลวันที่ 7 เข้า hospitel วันที่ 8 เขาส่งสารคัดหลั่งไปตรวจที่หน่วยงานกลางแทนที่จะใช้ของรพ. เหมือนมันเป็นกฎหรืออย่างไร? งงอยู่เหมือนกัน ตอนนั้นคุยกันว่าทำไมไม่ให้ชุดตรวจขายได้ คนจะได้เอามาใช้เองที่บ้าน ทุกอย่างเป็นคอขวดไปหมดทั้งชุดตรวจ ยารักษา วัคซีน กว่าจะปล่อยให้เวชภัณฑ์เหล่านี้เข้าถึงโดยคนทั่วไป แม่กูก็เสียไปแล้ว กูโทรไปศูนย์เอราวัณด้วยนะ เขาบอกว่าต่อให้มั่นใจว่าติด พวกกูก็ไปรักษาที่ไหนไม่ได้เพราะไม่มีผลตรวจเป็นทางการ อาจบอกได้ว่าโควิดไม่ได้ฆ่าคน แต่เป็นการจัดการต่างหากที่บีบให้คนต้องเสียชีวิต
.
แล้วการไปอยู่ hospitel ช่วงนั้นไม่ได้หมายถึงไปรับยานะ แต่แค่ถูกกันออกมาจากสังคมและได้สิทธิ์เอกซ์เรย์ปอด ทุกคนเท่าเทียมกัน คือมีโอกาสตายได้เท่ากัน บางคนเข้ามาใหม่ๆ ดูดี อยู่ไปหนึ่งคืน หายใจไม่ได้ ต้องอพยพไปไอซียู ภาพใน hospitel หดหู่มาก มีภาพของผู้หญิงคนหนึ่งอยู่กับลูกอายุแค่ขวบ แต่เขาเข้มแข็งมากเลย ยิ้มให้ลูกตลอด
.
ไม่ใช่แค่ครอบครัวกู เพื่อนพี่ชายก็ติดทั้งบ้าน เขารวยมากด้วย ไม่มีรพ.รับ จนสุดท้ายเขาต้องบอกรพ.ว่าอยากได้เงินเท่าไร บอกมา เขาพร้อมจ่ายให้เลยสี่แสน จากจุดนั้นครอบครัวเขาจึงได้ห้อง แต่เช้าวันถัดมาพ่อเขาเสียชีวิต แม่อยู่ไอซียู แต่รอดมาได้
.
นี่เป็นอีกประเด็นที่กูอยากพูด สืบไปสืบมา ทุกรพ.ไม่ได้ขาดเตียงขาดยา แต่เขากันห้องกันยาให้ลูกค้าประกันชั้นหนึ่ง นี่คือเรื่องจริง
.
แม่กูตาย กูเกือบตายเพราะแพทย์พาณิชย์กับการกักเวชภัณฑ์ ตอนนั้นไม่แจกยาเพราะบอกว่าเชื้อจะกลายพันธุ์ แต่วันนี้แจกยาให้กระทั่งผู้ป่วยสีเขียว ยอดกลับบ้านถึงได้สูงขึ้นเรื่อยๆ กว่าจะเปลี่ยนแนวทางจัดการ ความสูญเสียก็เกิดไปมากแล้ว