“ปะทะแยกดินแดงครั้งที่ ๖ ในรอบ ๒ สัปดาห์” ข้อสังเกตุของ ‘ไอลอว์’ ต่อม็อบ ๑๕ สิงหา ก่อนเสร็จสิ้น ‘คาร์ม็อบ’ ซึ่งตั้งเป้าไม่ตอแยตำรวจควบคุมฝูงชน แต่ก็มี ‘ขาบวก’ เห็นแนวตำรวจและกำแพงคอนเทนเนอร์แล้ว ‘ของขึ้น’ เดินเข้าหา
ฉีดน้ำแรงสูง แก๊สน้ำตา กระสุนยาง จึงกราดออกมาจากปากกระบอกปืนของตำรวจ แลกกับประทัด พลุ ขวด และถุงปลาร้าของฝ่าย ‘อิสระ’ หัวรุนแรง ที่ยืนหยัดแลกหมัดกับตำรวจจนกระทั่งค่ำ เว้นแต่ชาวบ้านบางคนถูกลูกหลงตำรวจเข้าไปถึงในที่พัก
มิใย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ วกรถเข้าไปตาม ขอให้พวกแนวหน้าทั้งหลายยุติกิจกรรมขับไล่ประยุทธ์เวลา ๖ โมงเย็น “ถอยมารวมกันตรงนี้ก่อน...วันนี้เราต่อสู้ทางการเมือง เราไม่ได้มาใช้กำลัง เราไม่ได้มาเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ เราไม่ได้มาเอาชนะ คฝ.”
ต่อมาวันนี้พวกฮ้าร์ดคอร์ถูกสายสันติวิธีตำหนิเสียยับ แต่ก็ยังมีเสียงจากผู้สนับสนุนเยาวชนเห็นว่าเป็นสถานการณ์ที่ช่วยไม่ได้ เพราะมี “ความโกรธอัดอั้นที่ถูกกระทำ เป็นความไม่พอใจสั่งสมต่อรัฐ และการใช้อำนาจของตำรวจ”
Atukkit Sawangsuk ชี้ว่า “มันเป็นธรรมชาติ เมื่อการต่อสู้แบบสันติไม่บรรลุมันก็ปะทุอย่างนี้เอง...การใช้กำลังหลายวันที่ผ่านมา ๗, ๑๐, ๑๑, ๑๓ และ ๑๕ สิงหา ก็ทำให้ตำรวจโดนด่าโดนประณามอย่างหนัก กลายเป็นสถานการณ์ที่หยุดไม่ได้ ถ้าประยุทธ์ยังอยู่”
ส่วน @Rosie_Spokedark จรรยา วงศ์สุรวัฒน์ บอกว่า “หยุด 'ด้อยค่า' ม็อบที่โกรธจนหลังชนฝาแล้วเลือกวิธีสู้กับหมาบ้า เวลานี้ใครสู้ยังไงก็ล้วนมีความชอบธรรมทั้งสิ้น...ม็อบรุนแรงให้ตายก็ไม่มีวันเทียบได้กับความรุนแรงแค่เริ่มต้นของรัฐ”
แม้แต่ ศ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ยังว่า ประชาชน “โดนรังแกตลอดมา และก็ไม่ถอยกลับไปไหน มันแสดงให้เห็นเลยว่าสังคมไทยเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าคิดว่ายังจะสามารถรักษาอำนาจด้วยวิธีการแบบเดิม (เก็บตัวอยู่ในกระดอง ปล่อยตำรวจทำระยำกับประชาชน)
ผมคิดว่ามันจะพังหนักกว่าเก่า” และมันพังกับชาวบ้านและบ้านเมือง “ผ่านมาแล้วครึ่งทางของเป้าหมายที่ประกาศไว้ว่าจะเปิดทั้งประเทศให้ได้ใน ๑๒๐ วัน” ในบทสนทนาของ manopsi @manopsi กับ White Army @white_armyxc
“เป้าหมายวัคซีนฉีดได้แค่ ๑/๓ เองครับ...ได้ ๒๓ ล้านโด๊สเซสจากเป้า ๑๐๐ ล้าน” แล้วยังเป็นวัคซีนคุณภาพต่ำเสียกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ปัญหาน่าจะอยู่ที่ตอนนี้ประยุทธ์หมดหนทาง ไม่รู้จะเดินอีท่าไหน เร่งเปิดประเทศเพื่อดึงเศรษฐกิจกลับมาหรือ
จำนวนการติดเชื้อเพิ่มจากไวรัสกลายพันธุ์เดลต้าจะยิ่งทวีคูณ มีข้อเสนอภายในแพทยสมาคมให้ดูที่จำนวนผู้เสียชีวิต เมื่อไหร่จำนวนคนตายน้อยกว่า ๕๐ ต่อวัน จึงเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ เลิกจำกัด social activities และเลิกมาตรการจำกัดการเดินทางได้
แนวคิดนี้อ้างว่าเชื้อไวรัสชนิดเดลต้านี้แพร่ง่าย ขยายไว ยิ่งตรวจยิ่งเจอ “ไม่ควรดูที่ new cases เท่านั้น” ถ้าใช้จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เป็นเกณฑ์ จะไม่มีทางให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้” แล้วถ้ารอจำนวนคนตายลด ก็โน่น ต้นเดือนตุลาอย่างเร็ว
แต่ดูจากสถิติที่ผ่านมาช่วงครึ่งเดือน จำนวนติดเชื้อรายวันอยู่ในเกณฑ์ ๒ หมื่น คนตายร้อยกว่าถึงสองร้อยกว่าแต่ละวัน ด้วยการฉีดวัคซีนได้แค่นี้ไม่มีทางลดจำนวนคนตายเหลือต่ำกว่า ๕๐ ได้ทันต้นตุลา ทั้งที่ “สภาธุรกิจกดดันประยุทธ์กู้วิกฤต”
ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือภาคธุรกิจขนาดไม่เล็ก “จำเป็นต้องมีมาตรการเยียวยาธุรกิจที่ชัดเจนด้วย เพราะการล็อกดาวน์ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก” ธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ แห่งแอร์เอเซียแนะ
วานนี้สภาหอการค้าแจ้งผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่น ของนักธุรกิจต่างประเทศต่อประเทศไทย ๗๐ รายจาก ๓๕ ประเทศ กว่า ๗๐% ของจำนวนนั้นเห็นว่า ในปีนี้ไทยจะเติบโตทางเศรษฐกิจได้ต่ำกว่า ‘ศูนย์’ เปอร์เซ็นต์ และเพียงเกือบ ๑๒% เห็นว่าจะโตได้ระหว่าง ๒-๕%
นักธุรกิจต่างประเทศเหล่านั้นยังจี้ก้นรัฐบาลไทยว่า “ที่ต้องแก้ปัญหาเป็นการเร่งด่วนคือ การฉีดวัคซีนที่ล่าช้า การควบคุมการแพร่ระบาดโควิดไม่ได้ การเข้าถึงแหล่งทุนไม่ได้ของภาคธุรกิจ การว่างงานจากผลกระทบโควิด” ซึ่งดูเหมือนประยุทธ์ยังซื่อบื้อ ‘has no clue’
มิน่า เต้ ไทยศรีวิไลซ์ ถึงได้ออกแถลงอย่างมั่นใจว่า “เพราะความเจ็บแค้นของประชาชนมีมากมาย...ให้ท่านรีบลาออก แต่หากไม่ลาออกวันนี้ ผมเชื่อว่าท่านมีโอกาสสูงที่จะตายในตำแหน่ง” มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ยังจี้ให้พรรคร่วมรัฐบาล
“ต้องพิจารณาไปตามเสียงประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ...แต่ถ้าฝืน สภาแห่งนี้จะมีคณะคนมีอาวุธมาจัดการทำให้ไม่มีสภาผู้แทนราษฎรในอนาคต” พูดขนาดนี้ ดูซิประยุทธ์จะโผล่ออกจาก ‘บ้านหลวง’ มาตวาดใส่ไหม
(https://www.matichon.co.th/politics/news_2887128, https://www.posttoday.com/economy/news/660580, https://www.prachachat.net/economy/news-736144, https://www.facebook.com/baitongpost/posts/4338240196257776 และ https://www.facebook.com/iLawClub/posts/10165764021525551)