“คนรุ่นโบว์ขาวกำลังจะโกยอ้าวออกไป ตปท.ทั้งหมดแล้วขอรับ คงเหลือแต่ราชสำนักกับขุนศึกศักดินาพ่อค้ารับประทานกันเอง” เพื่อนร่วมอุดมการณ์ ชั้นเรียน และความมุ่งมั่น ‘conviction’ ท่านหนึ่งอุทานไว้บนหน้าสื่อสังคม มันอาจเป็นเพียงประชดให้ตื่นตูม
แต่ ‘implication’ ผลกระทบกระแทกไปไกลกว่านั้นเยอะ ดังที่ วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ เขียนถึงกลุ่มหนึ่งบนเฟชบุ๊คชื่อ ‘ย้ายประเทศกันเถอะ’ ซึ่งสร้างได้เพียงสองวันสมาชิกเกินครึ่งล้าน แล้วยังมีการแตกแขนงตามพื้นที่ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในฟากโลกตะวันตก
“ส่วนใหญ่เป็นเด็กหนุ่มสาว อายุ ๒๐-๓๐ ดูโปรไฟล์แล้ว หน้าที่การงาน การศึกษาสูง หากคนเหล่านี้ดิ้นรนขวนขวายย้ายไปอยู่ต่างประเทศได้จริงๆ ผู้ใหญ่หลายคนอาจจะสะใจ หรือไล่ส่งไปเลย แต่นี่กำลังจะเป็นวิกฤติสมองไหลครั้งใหญ่ของประเทศ”
เขาเขียนได้จะแจ้ง เห็นจริง ยิ่งเมื่อเปรียบเปรยกับ “เมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน รัฐบาลสมัยนั้นขาดแคลนคนทำงานเก่งๆ มาก ถึงกับได้รณรงค์ให้คนไทยจำนวนมากที่ไปเรียนต่อในต่างประเทศแล้วทำงานเลยกลับมาพัฒนาบ้านเกิดตัวเอง”
โดยเสนอค่าตอบแทนให้อย่างจูงใจ แล้วยังร้องขออ้อนวอน “คนเหล่านี้จำนวนมากก็ได้กลับเมืองไทยจริงๆ เข้าทำงานในบริษัทและรัฐวิสาหกิจ และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในช่วงเวลานั้น” แต่ก็เป็นเพียงช่วงสั้น ‘short lived’
แถวๆ ที่ผู้เขียนอยู่อาศัยเห็นมีอพยพกลับกันมามากหน้า แม้ในยุคต่อมาอีกสักสิบปีก็ยังพบว่าเด็กไทยเกิดในอเมริกา เรียนจบใหม่ๆ ไฟแรง อยากกลับไปทำคุณประโยชน์ให้บ้านเกิดของบิดามารดา เจอหลายคนอยู่ได้ไม่กี่ปีเผ่นกลับเหมือนกัน เพราะขอไม่ทนระบบงี่เง่า
เหล่านั้นเป็นเหตุไม่อำนวยที่ไม่บังเอิญมาเหมือนกับเหตุผลักดันคนรุ่นนี้ ไม่เพียง “วิกฤติเศรษฐกิจ ‘ต้มกบ’ ที่น้ำเริ่มเดือดในยุคคนรุ่นนี้พอดี” ตามคำวิเคราะห์ของ รศ.อภิชาต สถิตนิรามัย บอกกับ way magazine ว่ายังมีปัจจัยปรปักษ์อีกด้วย
“เป็นเรื่องยากมากที่จะเอาชีวิตรอดได้ แม้แต่เด็กที่เรียนเก่งๆ ระดับหัวกะทิก็รู้สึกถึงความไม่มั่นคงในชีวิตเลย สะท้อนสภาวะไร้ความหวังของคนรุ่นใหม่ พวกเขาถึงออกมา ‘สู้’ โดยมีวาทกรรม ‘เพื่ออนาคตตัวเอง’ เพราะพวกเขาไม่เห็นทางข้างหน้าเลย
...เขาก็รู้สึกว่าตกงานชัวร์” ซ้ำร้ายกับประเด็นที่ ผศ.กนกรัตน์ เชิดชูสกุล มาเสริม “ก่อนต้มกบจะมาเรายังพอมีทางไป แต่ตอนนี้คนรุ่นนี้ไม่มีทางไป ต่างประเทศแทบเป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่จะขายแรงงานราคาถูก โควิดปิดทางเลือกทุกทางเลือก”
ครั้นจะหันกลับไปตายบ้านเกิดเหมือนสมัยประชาธิปไตยครึ่งใบ นั่นมันปิดฉากไปแล้ว ยุคนี้เผด็จการกว่าครึ่งใบ “จะลงไปภาคเกษตร พวกเขาก็กลับไปต่างจังหวัดไม่ได้แล้ว เพราะพวกเขาคือรุ่นแรกที่ไม่มีรากในต่างจังหวัดเลย”
ถึงอย่างนั้นแรงกดดันที่เกิดจากภาวะสังคม โรคร้ายระบาดถึงถ้วนหน้าทำให้ “อยากจะย้ายหนีออกนอกประเทศ เพราะไม่พอใจกับการแก้ปัญหาโควิด-19 ของรัฐบาล รวมถึงปัญหาการเมืองที่เรื้อรังมานานหลายปี” กระแสหนีไปนอกเลยติดลม
ไหนจะรัฐบาลชุดนี้ไม่เคยฟังเสียงประชาชน กดขี่ข่มเหงพวกเห็นต่างที่เรียกร้องความชอบธรรม ‘สลายชุมนุม’ แล้วจับไปขังคุก ข่มขู่กดดันกาย ทรมานใจ ทั้งที่ทำอะไรต่อมิอะไรผิดๆ แม้กระทั่งทำไม่เป็นแล้วยังอวดเก่ง โทษแต่ประชาชน
มันจึงถึงจุดที่ว่า “ประเทศนี้มันเกินเยียวยาแล้ว ไม่มีพื้นที่สำหรับคนรุ่นใหม่ได้เติบโต” ยิ่งมีสมาชิกบางส่วนชวนชี้ถึง “การใช้ชีวิตในต่างประเทศ ให้เห็นข้อดีของประเทศต่าง ๆ ซึ่งล้วนกระแทกใจคนที่มองว่าการใช้ชีวิตในประเทศไทยนั้นเป็นเรื่องยากลำบาก”
ไหนจะกระบวน ‘ไม่’ ยุติธรรม ซึ่งนับวันยิ่งหนักข้อ ดูต่อกรณี อรอนงค์ บรรพชาติ อายุ ๕๒ ปี “ต้องคดีเผาศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี” เมื่อ “๑๙ พฤษภาคม ๒๐๑๐ ออกไปเรียกร้องให้หยุดฆ่าประชาชน” โดนคุก ๑ ปี ๓ เดือนแล้ว ทั้งศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ยกฟ้อง
แต่ศาลฎีกา (แม่ง) “ตัดสินให้เธอเป็นหนึ่งใน ๘ คนที่ต้องรับโทษจำคุกตลอดชีวิต และลดโทษเหลือ ๓๓ ปี ๔ เดือน นอกจากความผิดทางอาญาแล้ว ผู้ต้องขังทั้ง ๘ คนถูกดำเนินคดีทางแพ่ง และมีเพียงอรอนงค์เท่านั้นที่มีทรัพย์สินเป็นที่ดิน ๑๓ ไร่” พร้อมรีสอร์ต
ซึ่งก่อนหน้าได้ถูกแบ่งขายทอตลาดไปแล้ว ๗ ไร่ ๒ งาน พอมา ๑๒ เมษายน ปีนี้เอง “เธอพ้นโทษตามเงื่อนไขอภัยโทษ และกลับบ้านในสภาพที่ไม่เหลือทรัพย์สินใด และที่ดินแปลงสุดท้าย ๔ ไร่ ๓ งานพร้อมรีสอร์ตจะถูกขายทอดตลาดในวันที่ ๖ พฤษภาคม” นี้อีก
นั่นมันระบบยุติธรรม ‘จันทร์อะไร’ เนี่ย ย้อนไปพินิจถ้อยที่ อจ.วันชัยกระตุกจิตสำนึก “ผู้ใหญ่หลายคน (ซึ่ง) อาจจะสะใจ แต่อีกไม่นาน เราอาจจะกลับเป็นประเทศด้อยพัฒนาอีกครั้ง” ไม่นานขนาดปีหน้าปีโน้นนั่นละ
(https://www.facebook.com/WanChayTantiWithyaPhithaks/posts/314092190079073, https://www.prachachat.net/social-media-viral/news-660772 และ https://waymagazine.org/apichat-satitniramai-interview/)