อันก่อให้เกิดแรงบันดาลใจแก่สมัชชาฯ
ที่จะค่อยๆ ลงมือดำเนินการต่อสายสัมพันธ์ทางการเมืองกับประเทศไทยใหม่อีกครั้ง”
คณะมนตรีต่างประเทศของอียูระบุให้คณะกรรมาธิการสมัชชาฯ
เริ่มแสวงหาทางที่เป็นไปได้ ในการกลับมาเจรจาความร่วมมืออียู-ไทย
ด้านข้อตกลงเขตการค้าเสรีกันใหม่ รวมทั้ง “การลงนามในกรอบข้อตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือ
(Partnership and
Cooperation Agreement - PCA )”
ในแถลงการณ์ภาคภาษาไทย
๑๔ ข้อของคณะมนตรีต่างประเทศอียู เต็มไปด้วยข้อแม้เดิมเกี่ยวกับ “การคืนสู่กระบวนการทางด้านประชาธิปไตยอย่างเร่งด่วนที่สุด
โดยผ่านการเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือและมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย
รวมถึงความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน”
ทั้งนี้คณะมนตรี
“ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสิทธิทางการเมือง สิทธิพลเมือง และเสรีภาพ ซึ่งได้ถูกลิดรอนไปอย่างรุนแรงในประเทศไทยหลังจากการรัฐประหารเมื่อปี
พ.ศ.๒๕๕๗
เสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมยังคงถูกจำกัดอยู่เป็นอย่างมาก
ผ่านกฎหมายและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลายฉบับ
นอกจากนี้นักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคมและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนยังคงเผชิญกับการคุกคามทางกฎหมาย”
ข้อสำคัญ
“สหภาพยุโรปและประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปจะใช้จากการเจรจาติดต่อดังกล่าวอย่างเต็มที่ เพื่อหยิบยกประเด็นข้อกังวลเหล่านี้”
แล้วตอนท้ายของแถลงการณ์
มีการ ‘ย้ำอีกครั้ง’ ว่าให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับประเด็นยกเลิกข้อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก
การจัดเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือ และ “การเข้าประจำตำแหน่งของรัฐบาลพลเรือน” ในการพิจารณาทบทวนความสัมพันธ์กับประเทศไทยนี้
มิใยที่ในคดีความผิดตาม
พรบ.คอมพิวเตอร์ มาตรา ๑๑๖ ที่ คสช.ใช้แจ้งความดำเนินคดีกับ ร.ท.หญิง สุณิสา (เลิศภควัต)
ทิวากรดำรง หรือ ‘หมวดเจี๊ยบ’ อดีตรองโฆษกพรรคเพื่อไทย ฐานที่เขียนเฟชบุ๊ควิจารณ์พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา จะถูกจับตาอย่างใกล้ชิดโดยตัวแทนอียู
คดีดังกล่าวมีข้อความแชร์กันทางสื่อสังคมว่า
เธอได้ร้องขอให้สมัชชาอียูส่งตัวแทนไปสังเกตุการณ์การดำเนินคดี เช่นนี้น่าจะเป็นเพราะมีตัวอย่าง
แผนกสิทธิมนุษยชนอียูเคยส่งตัวแทนไปสังเกตุการณ์คดีของ ‘ทนายจูน’ ศิริกาญจน์ เจริญศิริ ทนายสิทธิมนุษยชนผู้ถูกตั้งข้อหาแจ้งความเท็จหลังจากเธอฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจ
สน.ชนะสงคราม ยึดรถของเธอไปโดยไม่ชอบธรรม
ไม่ว่า
คสช.จะมีทีท่าอย่างไรกับแถลงการณ์ฉบับใหม่ล่าสุดของสมัชชาอียูนี้
จะยักไหล่หรือว่าคอตกก็เป็นที่ตระหนักรู้กันดีว่า รัฐบาลไทยไม่ว่าชุดนี้หรือชุดหน้าจำเป็นต้องกลับไปสานสัมพันธ์ทางการเมือง
และข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ-เขตการค้าเสรี กับอียูอย่างไม่อาจหลีกลี้ได้
หากความใฝ่ฝันให้ ‘ประเทศไทย ๔.๐’ เกิดขึ้น
มิใช่เพียงคำพล่ามของนักยึดอำนาจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงคำวิจารณ์ของนิตยสาร
‘ดิ เอคอนอมิสต์’ ที่เปรียบเทียบการเลือกตั้งที่คาดว่าจะมีเร็วๆ นี้ในกัมพูชาและในไทยปลายปีหน้า
ว่าเป็นเพียง ‘shams’ หรือหลอกลวงด้วยกันทั้งคู่
ซึ่งก็ฟังขึ้นและไม่ได้ห่างไกลจากความน่าจะเป็นแต่อย่างใด
ข้อที่น่าสนใจกว่านั้นอยู่ที่
ดิ เอคอนอมิสต์ เทียบเคียงสถานะทางเศรษฐกิจของไทยกับกัมพูชาไว้ต่างกันกว่าเท่าตัว
ในทางที่กัมพูชาเติบโตได้ดีกว่าไทยด้วยซ้ำไป
ผู้นำ
คสช. จะเลือกเดินตามอย่างกัมพูชาทั้งในทางใช้อำนาจการเมืองเผด็จการอย่างระห่ำ ดังที่ดิเอคอนอมิสต์ระบุ
และเดินตามหลังอัตราจีดีพีการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไปเช่นนี้อีก ก็แน่นอนว่าไม่ช้าไม่นานอาจเกิดปรากฏการณ์แรงงานไทยไหลไปนอก
ขุดทองแถวประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและกัมพูชาก็ได้ ใครจะรู้
ถ้าดูจากรายงานข่าวของ
‘นิคเคอิรีวิว’
ที่ว่าเดี๋ยวนี้เมืองปอยเป็ตติดชายแดนไทย
ซึ่งไม่กี่ปีมานี้เคยเป็นแหล่งคาสิโนที่คนไทยไหลไปเล่นการพนันกันตรึม ได้กลายเป็นนิคมอุตสาหกรรมแข็งขัน
ชนิดที่บริษัทผู้ผลิตสินค้าเครื่องไฟฟ้าและอีเล็คโทรนิคจากญี่ปุ่นใฝ่หาไปแล้ว
ในลักษณะ
“Thailand-Plus-One” หรือลงเมืองไทยแต่ไปต่อที่นี่ ดังเช่น ‘เทคโนพ้าร์คปอยเป็ต’
เป็นเขตอุตสาหกรรมใหม่ของกัมพูชาเพิ่งเปิดเมื่อวันที่ ๘ ธันวานี้เอง
โดยเบื้องต้นประกอบด้วยโรงงานอุตสาหกรรม ๕ ราย
บริษัทอุตสาหกรรมเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น
(๔ ราย) ผลิตชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า อะหลั่ยรถยนต์และมอเตอร์ไซค์
โดยรับช่วงหรือต่อยอดจากโรงงานผลิตที่มีอยู่แล้วในประเทศไทย โดยที่โรงงานในไทยนั้นทำการผลิตในขั้นตอนที่อาศัยเครื่องจักรเป็นหลักใหญ่
พอมาถึงขั้นตอนที่ต้องประกอบด้วยมือก็จะส่งออกไปปอยเป็ต
ซึ่งค่าแรงถูกกว่า ราว ๖๐ เปอร์เซ็นต์ของในไทย ทำให้ลดต้นทุนการผลิตลงไปได้ถึง ๒๐
เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าในปีหน้ากัมพูชาจะปรับอัตราค่าแรงขึ้นไปอีก ๑๑ เปอร์เซ็นต์
เป็นเดือนละราว ๑๗๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ๕,๖๐๐ บาท ก็ยังต่ำกว่าในประเทศไทยมาก
หนึ่งในนั้น
บริษัทโตโยต้าสึโฉะมั่นใจว่าจะปักหลักที่นี่อีกไม่ต่ำกว่าสิบปีเพราะความได้เปรียบในด้านค่าแรง
ส่วนบริษัทสุมิตโทรนิคส์ บริษัทลูกของสุมิตโตโมในญี่ปุ่น ตั้งเป้าเตรียมขยายพื้นที่การผลิตอีก
๕ เท่าภายในสองปี
นอกเหนือจากโรงงาน
๕ แห่งในนิคมใหม่นี้แล้ว ปอยเป็ตยังมีโรงงานอุตสาหกรรมประกอบชิ้นส่วนฮ้าร์ดดิสต์และอะหลั่ยรถยนต์อีกสองแห่งของญี่ปุ่น
กับโรงงานผลิตภัณฑ์ก่อสร้างของไทยที่จะเริ่มเดินเครื่องปีหน้าอีกแห่ง
โรงงานเหล่านี้ทำให้การค้าปลีกในพื้นที่บูมขึ้นมาทันตาเห็น
ร้านกาแฟแอมาซอนและพิซซ่าคัมปันนีจากไทยข้ามไปเปิดกิจการกันเก๋ไก๋
การค้าข้ามแดนที่ก่อนหน้านี้พลุกพล่านอยู่แล้วก็ยิ่งคึกคักมากขึ้น
มูลค่าการส่งออกสินค้าข้ามด่านชายแดนจากไทยเพิ่มขึ้น
๔๐ เปอร์เซ็นต์จากปี ๒๕๕๕ เป็นมูลค่า ๔๒๖,๖๐๐ ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว
และสินค้านำเข้าจากกัมพูชาเพิ่มขึ้นสามเท่าตัวเป็นมูลค่า ๑๖๘,๗๐๐
ล้านบาทในปีเดียวกัน
การไล่ตามมาเป็นฮับสนับสนุนการผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมเครื่องไฟฟ้าและอีเล็คโทรนิคจากไทย
ทำให้จีดีพีของกัมพูชาเติบโตมากกว่าไทยเกินเท่าตัว ขณะที่ทีมเศรษฐกิจ คสช. หันไปมุ่งการผลิตด้านดิจิทัล
และพยายามเข้าสู่อุตสาหกรรมประกอบเครื่องบินและหุ่นยนต์แทน เพราะการผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมอิ่มตัวแล้ว
แต่ปัญหาของไทยยังติดกึกอยู่ที่ไม่มีแรงงานฝีมือทักษะสูงทางด้านอีเล็คโทรนิคมาสนับสนุนการฉีกแนวตามฝันของ
คสช. ครั้นจะถอยกลับไปเน้นการผลิตชิ้นส่วนอย่างเดิมก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะอุตสาหกรรมเหล่านี้ย้ายฐานออกไปจากไทยกว่าครึ่ง
ทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้อยู่ที่การเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือทางการค้าและอุตสาหกรรมกับประเทศตะวันตก
ดังที่สมัชชาอียูยื่นข้อเสนอใหม่มาให้
หากจะยังยะโสไม่ยอมรับ ก็ไว้รอคุยกับกัมพูชาตอนที่เขาล้ำหน้าไทยไปแล้วก็ได้ คงง่ายหน่อยเพราะเป็นเผด็จการ (ภายใต้ราชาธิปไตย) เหมือนกัน