“แหวนของแม่ นาฬิกายืมมาจากเพื่อน...หูย ‘ไทยรัฐ’ ช่วยแถ” เป็นข้อคิดเชิงวิพากษ์ที่ดูจะต้องตรงกับสภาพเป็นจริงในพฤติกรรมของสื่อไทยสายหลักบางส่วน
ต่อการนบนอบพิเทากับอำนาจเผด็จการ คสช.
เนื่องมาจากกรณีรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
สวมแหวนเพชรและนาฬิกาอาร์เอ็มมูลค่าสิบล้านไปร่วมการถ่ายภาพหมู่คณะรัฐมนตรีชุดที่
๕ ของรัฐบาล คสช. เป็นที่วิพากษืวิจารณ์กันมากเนื่องจากไม่ได้แจ้งทรัพย์สินต่อ
ปปช. ตามระเบียบกฎหมาย
แม้น ปปช. จะเปิดทำการตรวจสอบ
แต่ก็มีคอมเม้นต์ล่องลอยมาจากประธาน ปปช. ว่าอาจไม่มีความผิดใดๆ หากทรัพย์สินที่ไม่ได้แจ้งนั้นเป็นของหยิบยืมมาใช้
หรือได้รับตกทอดในระหว่างยังดำรงตำแหน่ง
ผลสอบยังไม่ปรากฏเพราะมีเวลาหนึ่งเดือน แต่
‘หมัดเหล็ก’
คอลัมนิสต์เอกของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
ได้เขียนบทความอ้างถึงเครื่องประดับค่าล้นหลามทั้งสองชิ้นของ ‘บิ๊กป้อม’ นำร่องไว้แล้วว่า
“แหวนวงดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดจากพ่อเอามาใส่เป็นสิริมงคลในวันสำคัญ...หรือแม้แต่นาฬิกา
ที่เพื่อนรักซึ่งเป็นนักธุรกิจดังให้หยิบยืมมาชั่วครั้งชั่วคราว”
จึงเกิดคอมเม้นต์จากนักรบไซเบอร์รายหนึ่ง
‘จัสตินนี่, ลูกสมมุติ @whatsapp4456’ เย้าว่า “โอ้ยยย!!
ไทยรัฐ ช่วยแถ หรือข้อมูลจากไหนเนี่ย ถ้าจากประวิตรเองถือว่าแถได้ไม่ผิดคาดเลย
5555”
ซึ่งสะท้อนไปถึงเนื้อหาในการเสวนาของกลุ่ม ‘มีเดี่ยอินไซ้ด์เอ๊าท์’ หัวข้อ “การทำข่าวการเมือง-สิทธิมนุษยชนในสถานการณ์ไร้สิทธิมนุษยชน”
ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ศกนี้
ถ่ายทอดเนื้อความและคลิปโดยว้อยซ์ทีวีเมื่อ ๘ ธันวาคม
“ทั้งนี้ ในการเสวนาวิทยากรแต่ละคนได้เล่าประสบการณ์การทำข่าวในสถานการณ์ไร้สิทธิมนุษยชน”
ซึ่งวิทยากรมีด้วยกันสามคน ล้วนเป็นผู้ได้รับรางวัลด้านสิทธิมนุษยชน
โดย นิติธร
สุรบัณฑิตย์ เจ้าของรางวัลสิทธิมนุษยชนจากแอมเนสตี้ อินเตอร์แน้ทชั่นแนล ปี ค.ศ.๒๐๑๕
กล่าวถึงสภาพที่สื่อมวลชนโดนตั้งข้อหามาตรา ๑๑๖ โดนแล้วโดนอีกตลอดสามปีที่ผ่านมา “เพียงแค่หยิบรายงานมาอ่านออกอากาศ”
นิติธรยังเล่าประสบการณ์หลังย้ายจากไทยพีบีเอสมาอยู่ว้อยซ์ทีวีว่า
ทหารใช้วิธีการควบคุมสื่อผ่าน กสทช. “มีการเซ็น MOU กับ กสทช.เยอะ
เป็นที่รับทราบกันว่าเราสามารถรายงานข่าวอะไรได้และอะไรไม่ได้
เป็นพันธะที่ไม่ใช่กับทหารแต่กับ กสทช.”
ประวิตร โรจนพฤกษ์ ที่ได้รับรางวัลจากคณะกรรมการคุ้มครองสื่อ
หรือ CPJ
สำหรับปี ค.ศ.๒๐๑๗ กล่าวไว้ตอนหนึ่งระหว่างเสวนาว่า “สื่อไทยจำนวนหนึ่งเลือกแล้วที่จะตัดสินใจแล้ว
พวกเขามองว่าระบอบทหารน่าจะดีกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง”
ประวิตรเสริมต่อด้วยว่า “ส่วนตัวมองว่าเป็นการมองการณ์สั้นอย่างแน่นอน เพราะว่าเรากำลังทำลายระบบ
โดยการเอื้อหรือสนับสนุนการยึดอำนาจโดยไม่ยึดตัวบทกฎหมาย
เรากำลังเอื้อให้สังคมไม่มีขื่อไม่มีแป
ไม่มีพันธะทางสังคมร่วมกัน ไม่มีโซเชียลคอนแทรคร่วมกัน
มันก็จะถึงจุดที่ทุกคนใช้กำลังใช้อำนาจใช้ความรุนแรง โดยที่ไม่มีใครฟังใคร”
เหล่านั้นเป็นภาวะการณ์บ่มฟักก่อความเกลียดชัง
คสช. ในหมู่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จบีบรัดและกดดัน
เพื่อไม่ให้มีการคัดค้านและประท้วงการ ‘ครองเมือง’ ของ คสช. จนเกิดมีการรณรงค์เชิงสัญญลักษณ์ด้วยข้อความ
“รังเกียจเผด็จการ” แพร่หลาย
ซึ่งนักข่าวรางวัลสิทธิฯ ผู้ร่วมเสวนาทั้งสาม
รวมทั้ง มุทิตา เชื้อชั่ง อดีตผู้สื่อข่าวเว็บไซต์ประชาไท ผู้ได้รับรางวัล เอเอฟพี
เคท เวบบ์ ประจำปี ๒๐๑๕ ให้ความเห็นหลากหลายกันไป
“ประวิตร กล่าวว่า
อยากให้คนไทยต่อสู้เพื่อความรักในสิทธิเสรีภาพ เคารพความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น
ไม่ใช้ความเกลียดชัง
เพราะถ้าไม่พูดด้วยเหตุผลเราก็จะไม่ต่างจากทหารที่ไม่ได้ใช้เหตุผลแต่ใช้อำนาจทำให้กลัว”
ส่วนมุทิตา ชี้ว่า “ความเกลียดชังเกิดจากบริบทที่มีการยึดอำนาจทางการเมือง
เอาสิทธิการเลือกตั้งไป มีการจำกัดเสรีภาพและมีการกระทำต่างๆ...
แต่การสู้ด้วยความเกลียดก็เผาตัวเอง
ทำให้ไม่มีพื้นที่ความเป็นไปได้อื่นของฝ่ายตรงข้าม”
สำหรับนิติธร เห็นว่า “เข้าใจคนที่ถูกรังแกถูกกดทับมาตลอด
๓ ปีที่ผ่านมาเพราะมีการใช้อำนาจเยอะมาก คนที่ถูกกระทำหลายคนก็ไม่ได้เป็นที่รู้จัก
ไม่มีอาวุธจะสู้ จึงเกิดปรากฏการณ์เหล่านี้”
และจากประสบการณ์ของเขาในการทำข่าวในจังหวัดชายแดนภาคใต้
“ก็สัมผัสได้จริงๆ ว่า ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ครั้นจะบอกว่าไม่เกลียดก็ยากมากต่อการเยียวยาความรู้สึก”
มันจึงมิใช่เพียงประเด็นการ
‘อยู่เป็น’ หรือไม่เท่านั้น ข้อสำคัญอยู่ที่ ‘ผลกระทบ’ ที่คนหลายกลุ่มได้รับ บ้างทางกายภาพและไม่น้อยทางด้านจิตใจ ต่อการได้เห็นทหารใช้อำนาจบาดใหญ่
โดยที่พวกเขาไม่สามารถต้านทาน
ไม่แม้แต่การระบายความรู้สึกอัดอั้น
เมื่อทหารใช้วิธีการแบบฟ้าสซิสต์-นาซี เข้าไปกำกับควบคุมทุกกระเบียดนิ้ว การครอบงำของทหารยิ่งมีประสิทธิภาพมากเท่าไร
ก็ยิ่งก่อให้เกิดความชิงชังหาญสู้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น
หลักกลศาสตร์ย่อมนำมาใช้ได้เสมอกับภาวะจิตใจ ความอัดอั้นย่อมผลักดันให้เกิดการระเบิด
ความค่นแค้นย่อมทดแทนด้วย ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’